ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
เมษายน 19, 2024, 04:31:29 am
หน้าแรก ช่วยเหลือ ค้นหา เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก
ข่าว: งานเทศนาธรรม และการสอนปฏิบัติกัมมัฏฐาน
๏ ทุกวันอาทิตย์ท่ี ๑ ของเดือน เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๒.๐๐ น. ณ บ้านธรรมยอดไกรศรี ๑๒๘/๖๘ หมู่บ้านคาซ่าวิลล์ พระราม ๒-๒ ถนนพระรามท่ี ๒ ซอย ๕๐ (ซอยวัดกําแพง) เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ
๏ ทุกวันอาทิตย์ท่ี ๒ ของเดือน เวลา ๑๓.๐๐ - ๑๕.๓๐ น. ณ บ้านคุณหมอศรุตา ฟักนวม จังหวัดนครปฐม
๏ทุกวันศุกร์ถึงอาทิตย์ที่ ๓ ของเดือนมีการเก็บกัมมัฏฐาน ภาคปฏิบัติ ณ สํานักปฏิบัติ อัญญาวิโมกข์โ์พธิรังษี (วัดป่ากล้วยไม้ดิน) บ้านหนองฟักทอง ตําบลปากช่อง อําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
๏ แสดงธรรมงานบวชเนกขัมมะประจําปี ณ ศูนย์พุทธศรัทธา บ้านหมอ จ.สระบุรี ในวันมาฆบูชา, วันวิสาขบชูา และวันพ่อ-วันแม่แห่งชาติ (ถ้าธาตุขันธ์องค์หลวงพ่อไม่อาพาธ ก็จะไปมิได้ขาด)
สอบถามรายละเอียดเพ่ิมเติมได้ท่ี คุณสายพิณ โทร. ๐๘-๙๙๐๐-๗๓๙๙ หรือ www.kubajaophet.com
หมายเหตุ : ตารางเวลาอาจมีการเปล่ียนแปลงได้ตามความเหมาะสม

+  ครูบาเจ้าเพชรดอทคอม
|-+  บอร์ดหลัก
| |-+  "ความสงสัยที่มีคำตอบ ที่คุณอยากรู้"(ผ่านคณะเรียนถามหลวงพ่อ)
| | |-+  หลวงพ่อตอบคำถาม วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม 2552
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: หลวงพ่อตอบคำถาม วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม 2552  (อ่าน 3347 ครั้ง)
มือใหม่หัด พุทโธ
Administrator
Sr. Member
*****
กระทู้: 316



ดูรายละเอียด
« เมื่อ: มีนาคม 25, 2009, 03:54:52 pm »

เนื่องจากทุกวันพฤหัส หลวงพ่อท่านได้เมตตามาแสดงธรรมที่

ศูนย์พัฒนาม่วงน้อยเครือซิเมนต์ไทยท่าหลวง เป็นลักษณะการ

ถาม-ตอบ ถ้าท่านใดมีข้อสงสัย หรืออยากจะถามข้อธรรมต่างๆ

สามารถ ถามผ่านบอร์ด"ความสงสัยที่มีคำตอบ ที่คุณอยากรู้"(ผ่านคณะเรียนถามหลวงพ่อ)

ได้เลยค่ะ จะมีตัวแทนนำคำถามไปกราบเรียนถามหลวงพ่อให้

และนำมาตอบให้ในบอร์ดทุกอาทิตย์ค่ะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 25, 2009, 08:52:28 pm โดย มือใหม่หัด พุทโธ » บันทึกการเข้า
มือใหม่หัด พุทโธ
Administrator
Sr. Member
*****
กระทู้: 316



ดูรายละเอียด
« ตอบ #1 เมื่อ: มีนาคม 25, 2009, 03:56:10 pm »

ตัวอย่าง จากวันพฤหัส ที่ 22 ม.ค. 52

คำถาม :   ก็มีตอนปฏิบัติ ก็ซักตีสามครึ่งลุกขึ้นมานั่งสมาธิ อารมณ์มันเกิด ทางกายก็ สมาธิก็รู้สึกว่าแข็ง จิตนิ่งดีแต่ว่ามองเห็นความคิดที่เกิดขึ้นเนี่ย อีกสภาวะหนึ่งก็คือลมก็รู้ ลมเข้าลมออก แล้วก็ความคิดที่เกิดพยายามห้ามไม่ให้มันเกิดมันก็คอยจะเกิดอยู่เรื่อย ลักษณะอย่างนี้คือ จะควบคุมยังไงพยายามไม่ให้มันเกิดแล้วก็รุนแรงขึ้นครับ

หลวงพ่อตอบ : ความสงบของสมาธิถ้าแบ่งแล้วก็จัดได้เป็น 3 ส่วน
1. ความสงบขั้นวิตก วิจารณ์ คือมีความสงบแต่มีความคิดอยู่ด้วย ความคิดนั้นบังคับไม่ได้ในขั้นนี้ มีทั้งดีและชั่วปะปนกันอยู่ ถ้าจิตขาดสติก็จะหลงใหลไปคิดนานความสงบก็จะหายไป ความสงบขั้นที่
2. เป็นความสงบ แต่ก็มีวิจารณ์ คือมีความคิดไปเรื่องโน้นเรื่องนิ้หลายเรื่องแต่ว่ามีความคิดที่ไม่นานและก็ดับหายไป จิตนั้นมีคิดตามบ้างไม่คิดตามบ้างแต่ส่วนใหญ่จะรู้ไม่คิดตาม ความสงบขั้นที่
3. เป็นความสงบที่ห่างออกจากความคิดนึก ความคิดนึกไม่ปรากฏ มีแต่ความสงบอย่างเดียว แต่บางทีจิตที่เคยคิดก็เพลอไปคิด คือมีความเพลอคิดด้วยอาศัยไม่เจตนาแต่ตัวเราเป็นผู้คิด ก็ทำลายความสงบอีกเช่นกัน
ลักษณะอย่างนี้เป็นลักษณะที่จิตมีความสงบอยู่ จิตเกิดความคิด ไล่ดูสามระดับ อยู่ในนั้นแหละนั่งทีมีครบทั้งสามระดับ ระดับสงบ ขั้นที่หนึ่งความคิดเกิดขึ้นควบคุมไม่ได้บังคับไม่ได้ทั้งดีและชั่วหลงใหลไปเรื่อย ความคิดขั้นที่สองคือ มีความคิดแต่ว่าควบคุมได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ส่วนใหญ่จะควบคุมได้ ความคิดระดับที่สาม คือความคิดที่สงบมาก แต่พอสงบนานๆเข้า จิตอาจเพลอไปคิดได้แต่ก็ไม่ฟุ้ง ระงับได้ ส่วนใหญ่ขั้นที่สามเนี่ย จะคิดไปเรื่องธรรมะ เรื่องคำสอนบ้างอะไรบ้าง พอคิดไปมันก็ฟุ้งไปเรื่อยหละคราวนี้ มันไม่หยุด นะ นั้นก็เรียกว่าเป็นความฟุ้ง ความฟุ้ง ฟุ้งในความสงบนั้นเอง สงบอยู่ในความฟุ้ง นะ ยังไม่สงบในขั้นที่สี่เค้าเรียกว่า สงบจริง คือความคิดนึกไม่มี ปรุงแต่งไม่มี มีแต่ความสงบอยู่กับพุทโธ อยู่กับลม นะ ขั้นที่สี่ อ้าวมีใครอีก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 25, 2009, 06:01:29 pm โดย webmaster » บันทึกการเข้า
มือใหม่หัด พุทโธ
Administrator
Sr. Member
*****
กระทู้: 316



ดูรายละเอียด
« ตอบ #2 เมื่อ: มีนาคม 25, 2009, 04:11:40 pm »

อีกตัวอย่างค่ะ

คำถาม :  มีเพิ่มอีกหน่อย ก็คือ เมื่อก่อนจะนั่งและก็ต่อสู้กับเวทนาได้ค่อนข้างนาน แต่พอมาตอนหลังเนี่ย คือโรครุมเร้าตั้งหลายอย่าง ทั้งโรคหัวใจทั้งโรคขาชา ปวดหลัง ทำให้ความเพียรลดหย่อนลง การนั่งทุกครั้งเนี่ยก็จะแพ้มันอยู่เรื่อย ก็คือการต่อสู้เวทนาได้ไม่นานถึงที่สุดเท่าที่ใจจะทนได้ เออ..วิธีที่จะปฏิบัติให้ก้าวหน้าเนี่ย ผมควรจะปฏิบัติยังไง ก็คือจะต่อสู้เวทนา หรือว่านอนกำหนดไปอย่างนี้ไปเรื่อยๆครับ

หลวงพ่อตอบ : เวทนาที่เกิดขึ้นนี้ต้องรู้จักอันนี้ก่อน เวทนาที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นจากผัสสะ ผัสสะเกิดจากการกระทบจากอายตนะภายในและภายนอก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบ รูป รส กลิ่น เสียง กระทบ โฟฏฐัพพะ ธรรมมารมณ์ การที่เราเกิดเหน็บชาที่ขาเป็นอาการของกายกับโฟฎฐัพพะมาประจวบกัน มีวิญญาณเข้าไปรับรู้จึงเกิดการกระทบขึ้น เมื่อเกิดการกระทบขึ้นก็เกิดเวทนา ถ้าจะดับเวทนา ผัสสะต้องดับไปก่อน คือการกระทบต้องดับไปก่อน เวทนาถึงจะดับไป เราดับเวทนาไม่ได้ ถ้าดับต้องดับที่ผัสสะ เมื่อถ้าเราดับผัสสะไม่ได้ เวทนาก็เกิด เมื่อเวทนาเกิด จิตเป็นทุกข์ก็เป็นตัณหา เข้าไปเกาะเกี่ยวความทุกข์นึกว่าทุกข์เป็นเรา ทุกข์นั้นเป็นของเรา อัตตาตัวตนของเราเป็นตัวทุกข์ อันนั้นเค้าเรียกว่าองค์ประธาน เกิดกรรม เพราะฉะนั้นต้องแยกแยะอาการเหล่านั้นว่า โดยใช้การสอดส่องธรรมเรียกว่า ธรรมะวิจะยะ ด้วยปัญญาว่า สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแล้วดับไป ทางสายเกิด ก็เกิดจากผัสสะ เวทนา ตัณหา ทางสายดับก็คือดับตัณหา ดับเวทนา ดับผัสสะ แล้วก็ต้องพิจารณาเห็นทางสายเกิดกับทางสายดับ ดับลงไปที่สุดคือดับขันธ์ห้านั้นเอง คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ คือให้ยกข้อธรรมขึ้นมากำหนด พิจารณา การจะทำให้จิตของเรามีความขยัน ก็ต้องยกกำลังใจขึ้นมาก่อน ให้กำลังใจของเรามีความพากเพียรขึ้น โดยการน้อมเอาข้อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เช่นว่าท่านทั้งหลายอย่ามัวนอนหลับใหลอยู่เลย อายุของท่านนั้นมีเพียงน้อยนิด จงลุกขึ้นเถิด จงทำความเพียรเถิด จงตั้งสติเถิดอย่าให้พญามัจจุราชรู้ว่าท่านประมาทแล้ว นี่ อย่างนี้เป็นต้น ความเพียรก็จะเกิดขึ้นเอง ต้องอาศัยธรรม นะ เอามาใคร่ควรกำหนดพิจารณาเพื่อให้เกิดความเพียร หรือความป่วยไข้ไม่สบาย เป็นโรคหัวใจ เป็นโรคปวดหลัง เป็นโรคเหน็บชาก็ตาม ก็ให้คิดว่า ร่างกายของเรานี้ป่วยไข้ไม่สบาย ก็เกิดจากผลกรรมเก่า กรรมเก่านั้น ได้มาเสวยแก่เราแล้วหนอ ถ้าขืนเรายังปล่อยปะละเลยอยู่ เวทนาแห่งความป่วยต่อไปจะแรงกล้ากว่านี้ เราอาจจะไม่มีโอกาสได้ลุกขึ้นมานั่งทำความเพียร ในขณะใดที่เรายังสามารถลุกนั่งทำความเพียรได้ เดินทำความเพียรได้ ยืนทำความเพียรได้ เราจะไม่ลดละความเพียรอันนี้ เว้นไว้แต่พระยามัจจุราชสั่งห้ามเสีย ไม่ให้นั่ง ไม่ให้เดิน ไม่ให้ยืน ให้แต่นอนแล้วค่อยนอนภาวนา อย่างนี้เป็นต้นนะ อ้าวมีข้อไหนอีก ทางนี้ไม่มีเลยรึ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 25, 2009, 06:01:46 pm โดย webmaster » บันทึกการเข้า
มือใหม่หัด พุทโธ
Administrator
Sr. Member
*****
กระทู้: 316



ดูรายละเอียด
« ตอบ #3 เมื่อ: มีนาคม 25, 2009, 04:16:20 pm »

ตัวอย่าง

คำถาม :   กราบนมัสการหลวงพ่อครับ พอดีวันก่อนผมไปเยี่ยมเพื่อนพนักงานที่เป็นมะเร็งที่จมูก น่าจะประมาณระยะสุดท้ายแล้วนะครับ คือสภาพร่างกายก็ผอมมาก ที่นี้ที่อยากถามหลวงพ่อ ก็คือว่าเวลาเราไปเยี่ยมคนป่วย ที่แบบระยะสุดท้ายเนี่ยเราควรมี 1.ตัวเราเองควรจะมีหลักคิดอย่างไร 2.ก็คือเราควรจะให้คำแนะนำยังไง เพราะที่ดูเค้าคงจะมีสภาพจิตใจที่ค่อนข้างแย่ ก็คือดูจะคล้ายๆกับไม่แน่ใจชีวิตตัวเองจะเป็นอย่างไร จะหายหรือไม่หาย จะตายหรือไม่ตาย เราก็ไม่รู้จะพูดยังไง จะบอกว่าให้ทำใจก็เหมือนกับว่าไปแช่งเค้า ก็เลยบอกว่า สู้ๆๆไป ก็ซึ่งเราก็โอกาสสู้ก็น่าจะน้อย อยากจะขอคำแนะนำจากหลวงพ่อในประเด็นการไปเยี่ยมคนไข้ ประมาณนี้ครับ

หลวงพ่อตอบ : ก่อนอื่นคือน้อมเข้ามาหาตัวก่อน เห็นเค้าอย่างไรเราก็อย่างนั้น ตั้งข้อธรรมขึ้นมาว่า นามรูปัง ทุกขัง นามและรูปนี้ตอนอยู่มีชีวิตที่เราเห็นนี้เป็นทุกข์ ทุกข์จากความป่วยที่เราเห็น นามรูปัง อนิจจัง รูปและนามนี้แต่เดิมเค้าแข็งแรงสุขภาพดี แต่มีความเปลี่ยนแปลงไปเพราะวิบากกรรมของเค้า ทำให้เกิดความป่วยไข้ไม่สบาย เป็นโรคร้าย ความไม่เที่ยงปรากฏแก่เราแล้วหนอ นามรูปัง อนัตตา ร่างกายเค้านี้สุดท้ายก็ต้องแตกย่อยยับสลายไปไม่ปรากฏอีก ร่างกายเค้าฉันใด ร่างกายเราก็อย่างนั้น ให้ตั้งขึ้นมาในใจว่า อย่าเลย เรามั่วอย่าประมาท เราอย่าประมาทอีกเลย จงตั้งความเพียรเถิด จงเร่งความเพียรเถิด อย่าทิ้งชีวิตไปเปล่า วันคืนล่วงไปๆ เราอย่าได้ละเลยจากความเพียร อย่าได้ละเลยจากจิตที่กำหนดไว้ อย่าละเลยจากกุศลเลย เพราะฉะนั้นจะเป็นอย่างเค้าที่ไม่สามารถ ที่จะมาฟังธรรม มาปฏิบัติธรรม และได้ศึกษาธรรมะกันอีก เหมือนกับเราๆ โอกาสเรายังมี คือคิดตัวเราก่อน ต่อไปคือนึกถึงเขา เพื่อจะปลอบใจเขาให้เค้านึกถึงสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต เช่นว่า เราเคยไปทำบุญที่ไหนมามั๊ย ถ้าไม่เคย เคยไปฟังธรรมอะไรมา ธรรมอันไหนรู้สึกเราฟังแล้วเราถูกใจมีมั๊ย เราเคยไปให้ทานกับคนยากจนหรือช่วยเหลือสงเคราะห์คนอื่นมีบ้างมั๊ย ถ้าไม่มีเลยควรแนะนำเขาว่า การรักษาศีล การให้ทาน การปล่อยชีวิตสัตว์ การฟังธรรมการสมาทานศีล อาจช่วยให้รอดพ้นจากทุกขเวทนานี้ได้ หรืออาจจะหายจากโรคนี้ก็ได้ หรือถ้าไม่หายก็มีความสุข มีที่อยู่ มีภพชาติที่ดีเป็นที่ไป คือให้เราแนะนำไปเป็นขั้นๆ และอาศัยฟังเค้าด้วยว่าเค้าจะรับฟังเราต่อไปได้ไหม ถ้าฟังถึงที่สุดได้ก็พูดถึงที่สุด ถ้าฟังถึงที่สุดไม่ได้ก็พูดแค่จบ ยังไม่ต้องตาย ให้เค้านึกถึงแต่สิ่งที่ดีๆ นะ มีมั๊ยทางนี้มีมั๊ย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 25, 2009, 06:02:05 pm โดย webmaster » บันทึกการเข้า
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.15 | SMF © 2006-2008, Simple Machines | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!