ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
พฤษภาคม 02, 2024, 02:01:06 pm
หน้าแรก ช่วยเหลือ ค้นหา เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก
ข่าว: งานเทศนาธรรม และการสอนปฏิบัติกัมมัฏฐาน
๏ ทุกวันอาทิตย์ท่ี ๑ ของเดือน เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๒.๐๐ น. ณ บ้านธรรมยอดไกรศรี ๑๒๘/๖๘ หมู่บ้านคาซ่าวิลล์ พระราม ๒-๒ ถนนพระรามท่ี ๒ ซอย ๕๐ (ซอยวัดกําแพง) เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ
๏ ทุกวันอาทิตย์ท่ี ๒ ของเดือน เวลา ๑๓.๐๐ - ๑๕.๓๐ น. ณ บ้านคุณหมอศรุตา ฟักนวม จังหวัดนครปฐม
๏ทุกวันศุกร์ถึงอาทิตย์ที่ ๓ ของเดือนมีการเก็บกัมมัฏฐาน ภาคปฏิบัติ ณ สํานักปฏิบัติ อัญญาวิโมกข์โ์พธิรังษี (วัดป่ากล้วยไม้ดิน) บ้านหนองฟักทอง ตําบลปากช่อง อําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
๏ แสดงธรรมงานบวชเนกขัมมะประจําปี ณ ศูนย์พุทธศรัทธา บ้านหมอ จ.สระบุรี ในวันมาฆบูชา, วันวิสาขบชูา และวันพ่อ-วันแม่แห่งชาติ (ถ้าธาตุขันธ์องค์หลวงพ่อไม่อาพาธ ก็จะไปมิได้ขาด)
สอบถามรายละเอียดเพ่ิมเติมได้ท่ี คุณสายพิณ โทร. ๐๘-๙๙๐๐-๗๓๙๙ หรือ www.kubajaophet.com
หมายเหตุ : ตารางเวลาอาจมีการเปล่ียนแปลงได้ตามความเหมาะสม

+  ครูบาเจ้าเพชรดอทคอม
|-+  บอร์ดหลัก
| |-+  ประสบการณ์จากการปฏิบัติ
| | |-+  ข้อธรรมจากหนังสือ"อิ"
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 [2] 3 พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ข้อธรรมจากหนังสือ"อิ"  (อ่าน 25977 ครั้ง)
มือใหม่หัด พุทโธ
Administrator
Sr. Member
*****
กระทู้: 316



ดูรายละเอียด
« ตอบ #15 เมื่อ: มกราคม 05, 2009, 11:00:35 am »


สาธุ สาธุ สาธุ
บันทึกการเข้า
kaew
Newbie
*
กระทู้: 31


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #16 เมื่อ: มีนาคม 03, 2009, 05:37:16 pm »

หัวข้อธรรมที่  ๕๒              
          กินเพื่ออยู่  หรือ  อยู่เพื่อกิน
              กินเพื่อตาย  หรือ ตายเพื่อกิน
              ตายเพื่ออยู่  หรือ  อยู่เพื่อตาย

การกินเพื่ออยู่ คือไม่ติดในรส การอยู่เพื่อกิน คือ ผู้ติดในรส กินเพื่อตาย คือ ผู้มีสติรู้ว่ากินก็ตาย ไม่กินก็ตาย ไม่ประมาทในชีวิต เร่งทำบุญก่อนตาย ตายเพื่อกิน คือ ผู้ประมาทในชีวิตไม่คิดว่าจะต้องตาย เมาในชีวิตไม่เร่งทำบุญ ไม่ชอบสร้างกุศล ชอบสร้างแต่อกุศล ความชั่ว ตายเพื่ออยู่ คือ คนสร้างแต่คุณงามความดีปฏิบัติตนให้พ้นจากภัยหรือทุกข์ได้ ตายแล้วไปอยู่แดนไม่ต้องเกิด ไม่ต้องเจ็บ และไม่ต้องตาย (พระนิพพาน) อยู่เพื่อตาย คือ คนที่ประมาทในชีวิตมากๆเป็นคนเห็นแก่ตัวมาก ความดีชอบอวด ความชั่วเก็บไว้ และทำความชั่วทุกประการนับไม่ถ้วน เป็นผู้ละความสุขจากนิพพาน ไม่เหมือนพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ท่านตายเพื่ออยู่ คือ ตัวตายแต่ชื่อไม่ตาย ความดีไม่ตาย คำสอนไม่ตาย เป็นธรรมท่านทั้งหลายก็เลือกกันเอาเองก็แล้วกันว่าจะเป็นเช่นไร


หัวข้อธรรมที่  ๕๓                
           พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสว่ามันมีการเกิด มันมีการแก่ มันมีการเจ็บ มันมีการตาย เพราะมันเป็นอนิจจังคือ มันไม่เที่ยง เพราะมันเป็นทุกข์ขังคือ มันเป็นทุกข์เพราะมันเป็นอนัตตา คือ มันเป็นของไม่มีตัวตน มันไม่มีขันธ์ ๕ ไม่มีอะไร มีแต่พระนิพพานอยู่ในใจ นิพพาน นิพพาน สุขจริงหนอ พระนิพพาน
บันทึกการเข้า
kaew
Newbie
*
กระทู้: 31


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #17 เมื่อ: มีนาคม 15, 2009, 11:30:16 am »

หัวข้อธรรมที่  ๕๔
               ธรรมะเกิดจากจุดเล็กๆ
               ธรรมะเกิดจากจุดเล็กๆ  ช่องว่างเล็กๆนี่สำคัญ พระอรหันต์ท่านเห็นคนมองข้ามความสำคัญสิ่งเหล่านี้ไปท่านจึงนำมาสอน
                จุดเล็กๆมีอำนาจสามารถหยุดประโยคได้ ยกตัวอย่าง เช่น คำว่า การกระทำ จุดไว้จบประโยคนี้สามารถหยุดการกระทำนี้จึงมีค่ามีความสำคัญ ช่องว่าก็เช่นกันทำหน้าที่หยุดคำ หยุดตัวหนังสือได้อ่านแล้วไม่เครียดนี่มัน “ศักดิ์สิทธิ์” นะ

หัวข้อธรรีที่  ๕๕
               ทางที่ดับ-ดับที่ทาง
    คนที่กำลังหาตัวเอง ไปหาที่อื่น ที่ไหนๆ มันก็ไม่เจอ เปรียบเหมือนไฟที่ไหม้อยู่บนหัว วิ่งไปดับที่อื่น ไฟบนหัวก็ไม่ดับ เราต้องรู้ว่าอะไรมันไหม้ อะไรที่ไหม้อยู่ คือความทุกข์อยู่ที่ไหน ต้องไปดับที่นั้น มีเหตุก็ต้องมีปัจจัย ดับที่ใจ ใจของเจ้าของนั่นแหละ ต้องดับก่อนจึงจะได้ชื่อว่า “ทางทีดับ-ดับที่ทาง

บันทึกการเข้า
kaew
Newbie
*
กระทู้: 31


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #18 เมื่อ: เมษายน 08, 2009, 11:42:21 am »

หัวข้อธรรมที่  ๕๖
            โรงละครโรงใหญ่
       สถานที่เพาะเชื้อความดี และความชั่วก็คือ โรงละครโรงใหญ่ ถูกกำกับด้วยกฎหมายของกรรม ผู้คนในโรงละครแสดงหน้าที่ตามวิบากของกรรมก็คือการกระทำ  ซึ่งต่างก็หนีกรรมนั้นอยู่ สร้างความดีในปัจจุบันก็สามารถหนีกรรมชั่วได้ ฉะนั้นจงทำใจให้มีความสุข ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน จึงจะได้ชื่อว่า มีความสุขในโลกโดยแท้

หัวข้อธรรมที่  ๕๗
             หลักธรรมคำสอนของท่านครูบาเจ้าเพชร
      - ทำวันนี้ให้ดีที่สุด แล้ววันพรุ่งนี้จะดีว่าวันนี้
      - จงอยู่ให้คุ้มกับการที่ได้เจอพระพุทธศาสนา
      - พระไม่ปฏิบัติก็เป็นหน่อเน่าเนื้อในพระพุทธศาสนา
      - ธรรมะจริงๆ ได้เฉพาะตน
      - ค่อย ๆ เห็นทุกข์ให้เห็นบ่อย ๆ แต่ให้ค่อย ๆ เห็น

หัวข้อธรรมที่  ๕๘
                  ปัญญาของพระอริยะ
        ปัญญาของพระอริยะ รู้อะไรแทงทะรุตลอดเร็วไว เหมือนพลิกกระดานที่มีตะปูตอกอยู่ พลิกแล้วตะปูก็หลุดโดยไว มองไม่เห็น ยิ่งกว่าสายฟ้าแลบ ไม่มีตะปู เห็นแต่รูของตะปู ตะปู คือ กิเลสที่กดกระดานอยู่ หลุดออกแล้วรูที่กระดานก็คือ ปัญญาที่เกิดขึ้น รู้แจ้ง เห็นแจ้ง รู้ได้เฉพาะตน
         กบไสไม้ เราเอาไว้ไสไม้ ไสกระดานที่ไม่เรียบ มีขุย มีรอย ไสมันให้เรียบ สวยงาม สะอาดได้ กบไสไม้นี้ก็เปรียบเป็นปัญญาที่ไว้กำจัดกิเลสให้หลุด ให้หมดไปนั้นเอง

หัวข้อธรรมที่   ๕๙
                      ความแข็งแกร่งของจิต
            ความแข็งแกร่งของจิตนั้น ต้องค่อยๆ เริ่ม ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เห็น เหมือนเด็กผู้หญิงกว่าจะโต ก็เริ่มค่อยๆ มีการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ ตอนเด็กเรียกนมเด็ก พอโตขึ้นมาหน่อยก็เรียกหน้าอกสาว นี่ก็เป็นความค่อยเปลี่ยน ค่อยๆ เป็น ก็ไม่ต่างอะไรกับจิตของเราก็ต้องใช้วิธีแบบนี้


หัวข้อธรรมที่ ๖๐

               ร่างกายเหมือนบ้านจิตของเราคือผู้อาศัย เมื่อถึงเวลาเจ้าของบ้านตัวจริงมาเอาคืน คือ ความไม่เที่ยง คือ ความพังสลาย มาไล่เรา เพราะไม่มีเงินจ่ายค่าเช่า ต้องไปหาบ้านหลังใหม่อยู่หนีไม่พ้นนะทุกคนนะ เพราะร่างดายมันต้องตาย ทางที่ดีเราตัดสินใจไปพระนิพพานดีกว่าจะได้ไม่มีใครมาไล่

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 08, 2009, 11:45:01 am โดย kaew » บันทึกการเข้า
kaew
Newbie
*
กระทู้: 31


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #19 เมื่อ: เมษายน 08, 2009, 11:49:56 am »

หัวข้อธรรมที่  ๖๑ 
                   ศีล                                          
                   สมาธิ
                   ปัญญา
เป็นปัจจัยซึ่งให้ถึงพระนิพพานได้ไมยาก

หัวข้อธรรมที่  ๖๒
             ผู้หวังผลในพระนิพพาน อย่าปฏิบัติหลายหลาก ควรปฏิบัติเป็นจุดให้ตรงกับจริตของตนเอง ควรจะศึกษาในจริต ๖ ประการ แล้วปฏิบัติเอากรรมฐานให้ตรงกับอุปนิสัยของตน ก็จะมรรคผลนิพพานโดยง่าย พระพุทธเจ้าสอนกรรมฐานหรือพระองค์เทศน์กัณฑ์เดียวหรือกอง เดียวก็ทำ มนุษย์ เทวดา มาร พรหม อริยเจ้า โดยไม่ยาก
ฉะนั้นจึงศึกษาครูเดียว ธรรมอันเดียวที่เรามั่นใจและที่เราปฏิบัติเห็นผลจริงเป็นปัจจัตตังในตัวของเราเอง

หัวข้อธรรมที่  ๖๓
         ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล
               ตัวตนเรา เขา
       เป็นของน่ารังเกียจทั้งสิ้น

หัวข้อธรรมที่  ๖๔
            สิ่งที่น่ากลัวที่สุด
         คือ ความคิดของเราเอง
       เธอทั้งหลายก็ควรระวังความคิดของตัวเองให้มากในขณะอยู่คนเดียวเพราะบางครั้ง ความโลภ ความโกรธ ความหลง กามราคะ อาจเกิดขึ้นได้ก็ควรระวังด้วย จริงอยู่ในขณะปฏิบัติอาจไม่พบกิเลส พวกนี้ก็เพราะว่า ฌาน สมาธิ มันกดเออาไว้จึงไม่ปรากฏในขณะนั้น อาจคิดว่า เราบรรลุแล้วก็ได้ จงอย่าคิดอย่างนั้นนะมันจะผิดเพราะที่ไม่พบกิเลส เพราะ ฌาน สมาธิ มันกดไว้ต่างหากล่ะ
บันทึกการเข้า
kaew
Newbie
*
กระทู้: 31


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #20 เมื่อ: เมษายน 08, 2009, 11:53:04 am »

หัวข้อธรรมที่  ๖๕
              หลวงพ่อครูบาสอนลูก
       ธรรมอันใดที่เป็นที่ถูกใจในหระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระอริยสงฆ์ และเป็นทางดำเนินไปพระนิพพานของลูกทุกๆ คน จงทำ ธรรมอันนั้นให้จงมาก

หัวข้อธรรมที่  ๖๖
มาความสกปรกของตัวเองดูโครงกระดูก ดูเนื้อ ดูหนัง คนเรานี้ที่ดูมันอวบอั๋น เพราะว่ามันมีเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง มันเป็นธาตุน้ำ คนเราหลงกันตรงนี้ หลงธาตุน้ำ หลงน้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง ไม่ได้หลง อะไร พอเป็นคนแก่น้ำเลือดน้อยลง น้ำเหลืองน้อยลง น้ำหนองน้อยลง มีธาตุดินมาก มันก็เหี่ยว หมดความสวย

หัวข้อธรรมที่  ๖๗         
     พูดถึงเรื่องกระดูกแต่มันก็มีธาตุ ๔ เข้ามารวมด้วย เพราะมันอยู่ในร่างกายโครงกระดูก มันก็ไม่สะอาดด้วย ประการทั้งปวง ธาตุ ๔ มันก็ไม่สะอาดด้วย สรุปว่า ขันธ์ ๕ คือ ร่างกายไม่สะอาด นั่งมองเห็นโครงกระดูกแต่ก็เห็นธาตุ ๔ ด้วย เห็นอสุภะ คือ ของไม่สะอาด เห็นกายคานุสสติ คือ เห็นอาการ ๓๒ ไม่สะอาด ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นของไม่มีมนเรา เราไม่มีในมัน พอกันทีสำหรับร่างกายบ้าๆ อย่างนี้ ฉันไม่ต้องการมันอีก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย

หัวข้อธรรมที่  ๖๘
            บูชาในสิ่งที่ควรบูชา
    ปูชา  จะ  ปูชะนียานัง  เอตัมมัง  คะละมุตตมัง  คือควรบูชาในสิ่งที่ควรบูชา มีการบูชาในพระพุทธเจ้า ในพระธรรมเจ้า ในพระอริยสงฆ์ ในครูบาอาจารย์ ในบิดามารดา ใครบูชาในสิ่งที่กล่าวมา จะอยู่ที่ไหนก็จะเจริญ ในที่ทุกสถานมีคนสรรเสริญและเจริญในยศลาภ เป็นที่รักของพรหมเทวดา เราทุกคนจึงควรบูชาในสิ่งที่ควรบูชาเถิด ประเสริฐนักแล
หัวข้อธรรมที่  ๖๙
            คนรู้ธรรมะ  ศึกษาธรรมะ มีมาก คนปฏิบัติธรรมะมีน้อย ทั้งสองคนนี้มักไม่ลงกัน คนหนึ่งได้แต่จำธรรมะ  อีกคนหนึ่ง เห็นธรรมะ รู้แจ้งธรรมของพระพุทธเจ้า แต่ถ้าทั้งจะธรรมะและก็ลงมือปฏิบัติธรรมะไปพร้อมๆ กันจะมีประโยชน์มาก ให้เข้าใจอย่างนี้นะ

หัวข้อธรรมที่  ๗๐
           ขันธ์ ๕ เป็นของหนัก เป็นทุกข์ เป็นของไม่เที่ยง เป็นของทนได้ยากมนุษย์ทั้งหลาย ถ้ามีความเข้าใจเห็นทุกข์แล้วยอมรับตามกฎของธรรมชาติว่า ความตายเป็นสมบัติของทุกคนไม่มีใครจะหนีพ้นได้ การร้องไห้ ไม่ใช่การแก้ไขที่ถูกวิธี   ควรจะคิดว่าเราต้องตายเหมือนกัน
บันทึกการเข้า
kaew
Newbie
*
กระทู้: 31


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #21 เมื่อ: เมษายน 09, 2009, 01:23:56 pm »

หัวข้อธรรมที่  ๗๑
              หลักสำคัญของผู้ปฏิบัติ
            หลักสำคัญของผู้ปฏิบัติ นั่นก็คือเครื่องวัดจิต    หมายเอา  สังโยชน์ ๑๐ เป็นเครื่องวัด ก็จะรู้ได้เองว่าที่ปฏิบัติอยู่เป็นของแท้หรือของเทียม ไม่ใช่แต่มัวท่องเที่ยว เขามีไว้ตัดกิเลสกัน เป็นกำลังทางด้านวิปัสสนากัน ทำให้เกิดนิพพิทาญาณได้เร็ว แล้วเอาจิตเข้าไปจับสังขารุเปกขาญาณ คือ การวางเฉยแก่อารมณ์ทั้งปวง ปฏิบัติเอาเองก็จะรู้จริง เห็นจริง

หัวข้อธรรมที่  ๗๒
            คนเกิดเท่าไหร่ ตายเท่านั้น  สัตว์เกิดเท่าไหร่ ตายเท่านั้น ตายแล้วไม่เห็นมีใคร เอาอะไรไปได้สักอย่างหนึ่งหยิบฉวยอะไรไปไม่ได้ แม้แต่สังขารตัวเองก็เอาไปไม่ได้ เอาไปได้แต่บุญแต่บาป ก็เห็นมีเท่านี้เอง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว  ทำดี  คิดดี  พูดดี  ถึงพระนิพพานได้

หัวข้อธรรมที่  ๗๓
                         มีแต่ปลาทู  ๒  ตัว
                            ไม่มีอย่างอื่น
                      มีแต่ปลาทูแค่  ๒  ตัว
                              โลกทั้งโลก
                            ไม่มีอะไรเลย
                    จะโลภ จะโกรธ จะหลง
                  ก็เพราะปลาทู  ๒  ตัวนี้เอง

หัวข้อธรรมที่  ๗๔
             ร่างกายนี้เป็นของไม่เที่ยง เป็นความทุกข์ เป็นรังของโรค ความหิวเป็นโรคอย่างหนึ่ง เราทุกคนก็ต้องกินยาทุกวัน ยาประทังกาย คือ อาหารที่เรารับประทาน น้ำที่ไปหล่อเลี้ยงร่างกาย สิ่งต่างๆ ทั้งหมดนั้นก็เป็นยาทั้งสิ้น คือมันทรงร่างกายให้ทรงอยู่ได้ ให้
ขันธ์ ๕  มีสภาวะทรงอยู่ได้
             
หัวข้อธรรมที่  ๗๕
            ถ้าเจอตัวเอง คือ ตัวโง่หลงงมงายก็เห็นตัวเอง คือ ธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เห็นอะไร เห็นอาการ ๓๒ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เป็นต้น ตาสว่าง  ถ้ามองไม่เห็นของพวกนี้แล้วนิพพิทาญาณ มันไม่เกิด คือ ความเบื่อหน่าย ความยึดมั่น เราต้องทำความเข้าใจให้ลึกซึ้ง แยบยล สุขุม
บันทึกการเข้า
kaew
Newbie
*
กระทู้: 31


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #22 เมื่อ: เมษายน 09, 2009, 01:29:00 pm »

หัวข้อธรรมที่  ๗๖
                    ในสำนักของเรา
           ต้องยึดพระกัมมัฏฐาน  ดังนี้
ข้อที่ ๑   ตัดความกังวล คือ ตัดนิวรณ์ ๕ ประการ
ข้อที่ ๒  อานาปานุสสติ่
ข้อที ๓  พรหมวิหาร  ๔
ข้อที่ ๔  มรณานุสสติ
ข้อที่ ๕  กายคตานุสสติ
ข้อที่ ๖  อสุภะ  ๑๐
ข้อที่ ๗  บารมี  ๑๐
ข้อที่ ๘  ธาตุ  ๔
ข้อที่ ๙   อุปสมานุสสติ ( นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ )
ข้อที่ ๑๐  เอาจิตไปเทียบสังโยชน์ ๑๐  ว่าเราตัดได้ ๓ ข้อ หรือ ๕ ข้อ หรือ ๑๐ ข้อ หรือไม่ได้เลย อันมีความจำเป็นจะต้องเทียบบ่อยๆ ถ้าเทียบได้เท่าไหร่ ก็ต้องทรงเอาไว้ให้ได้ตลอด

หัวข้อธรรมที่  ๗๗
            ยึดติด  แต่ไม่ติดในสิ่งที่ยึด
            ขณะนี้เรายึดติดในคุณธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้า ยึดตามคำสอนของพระองค์ท่าน เพราะท่านดี มีเมตตา สอนให้เราพ้นทุกข์เพราะเรายังเด็ก เดินยังไม่แข็งแรงต้องหาที่เกาะก่อนจะได้ไม่ล้ม คือเกาะพระพุทธเจ้ายึดพระพุทธองค์ในขณะเดียวกันก็ปล่อยความยึดมั่นไปในตัวด้วย ลึกซึ้งนัก เข้าใจยากต้องเห็นเอง รู้เอง จึงจะเข้าใจละเอียด เปรียบได้เช่นเดียวกับเรามีหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง รักษาไว้อย่างดี ถ้าใครมาทำลาย เราก็ว่าเขา เหมือนเรายึดติดในหนังสือ แต่เราไม่ได้ติดในสิ่งที่ยึด เพราะเรารู้ว่าไม่มีสิ่งไหนเป็นของเรา การว่ากล่าวนั้น ว่าให้เขารู้จักระวังจะได้ไม่ทำหนังสือคนอื่นเขาเดือดร้อนอีก

หัวข้อธรรมที่  ๗๘
           ประโยชน์ของการป่วย
          การป่วย เราควรจะหาประโยชน์จากการป่วย  อย่าโทษว่าความป่วยไม่ดี ต้องโทษตัวเรา เพราะเราทำกรรมทำเวรมาก่อน ต้องยอมรับตามของธรรมดา ทุกคนหนีไม่พ้นกฎของกรรม เอาปัญญาเข้ามาคิดสิ คิดให้เห็น แทงให้ตลอด ว่าเราอยากป่วยอย่างนี้อีกไหม ถ้าไม่อยากป่วย ไม่อยากเกิด เอาใจของพระพุทธ เอาใจของพระธรรม เอาใจของพระอริยสงฆ์ มาไว้ในดวงจิตเรา มันจะมีกำลัง บารมีมากอย่างบอกไม่ถูก ตัดทีเดียว สังโยชน์ ๑๐ ก็ขาดกระเด็นได้เหมือนกัน แต่มันขาดไปเลยหรือขาดชั่วคราว อันนี้อีกเรื่องหนึ่งนะ คิดเอาเอง ทำให้เป็น  ทำจริงๆ  นะ ผลจะได้จริงๆ  เพราะคนบรรลุเป็นพระอรหันต์ตอนป่วยใกล้จะตายมีเยอะนะ

หัวข้อธรรมที่  ๗๙
          ต้นข้าว เกิดขึ้นอยู่บนดิน ดินคือ กองคูถ กองมูตร ต้นข้าวก็ดูดแร่ธาตุจากดิน ดินก็เป็นปฏิกูล แล้วข้าวจะเป็นอะไร ก็ต้องเป็นผลผลิตจากปฏิกูลนั่นเอง รวมไปถึงพืชผักต่างๆ  ด้วย และสัตว์ที่เกิดอยู่บนดินนี้ ก็คลุกคลีอยู่กับดิน รวมไปถึง  กินพืชพันธุ์ ธัญญาหารจากดิน  และสัตว์บางชนิดก็กินดินเป็นอาหาร  สัตว์นั้นก็เกิดจากปฏิกูล แค่ดินตืดมือเรายังรังเกียจนี่พระผู้มีพระภาคเจ้าท่านตรัสว่าเหมือนหลุมขี้ หลุมเหยี่ยว และลองมาคิดดู เอาพืชผักและสัตว์มาประสมปรุงเป็นอาหาร มันก็รวมความสกปรกที่รวมกันนั้นก็นำมาใส่ในกระเพาะคนและสัตว์  รวมความว่า คนและสัตว์คือส้วมที่เดินได้นั่นเอง

หัวข้อธรรมที่  ๘๐
       กิเลสนี่ตัวร้าย  แต่ถ้ามีขันติวิริยะ  ก็คงหมดได้  ทุกวันก็มีหน้าที่สำคัญอยู่ ก็คือ ดูลมหายใจเข้า – ออก ดูความคิดปรุงแต่งที่จิต แล้วก็ปล่อยวางเวลานอนก็นอนตายน้อย  คือฝึกตายเสียก่อน ตายจริงๆ ก็ทำได้
บันทึกการเข้า
kaew
Newbie
*
กระทู้: 31


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #23 เมื่อ: เมษายน 10, 2009, 12:45:11 pm »

                                 
ธรรมะจากพระโอษฐ์


เยธัมมาเหตุปัปภวา
เตสัง  เหตุง  ตถาคโตอาหะ
เตสัญจโยนิโรโรจ
เอวัง  วาที  มหาสมโณ
ธรรมทั้งหลายมีเหตุเป็นแดนเกิด
พระตถาคตได้ตรัสถึงเหตุของธรรมเหล่านั้น
เมื่อสิ้นเหตุของธรรมเหล่านั้นจึงดับทุกข์ได้
พระมหาสมณะมีวาทะตรัสสอนเช่นนี้

สัพพปาปัสสะ  อกรณัง
กุสลัสสูปสัมปทา
สจิตตปริโยทปนัง
เอตัง  พุทธานะ  สาสนัง


โอวาทของพระพุทธเจ้า  ๓  อย่าง
         
๑.เว้นจากทุจริต คือประพฤติชั่วด้วย กาย วาจา ใจ
     ๒. ประกอบสุจริต คือ ประพฤติชอบด้วย กาย วาจา ใจ
                           ๓. ทำใจของตนให้หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองใจ มีโลภ โกรธ หลงเป็นต้น
บันทึกการเข้า
kaew
Newbie
*
กระทู้: 31


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #24 เมื่อ: เมษายน 10, 2009, 12:51:43 pm »

ศีล ๕
ศีลของพระโสดาบัน
และพระกิทาคามี

ศีล ๕  มีดังนี้
๑.  ปาณาติปาตา  เวระมะณี  สิกขา  ปะทัง  สมาธิยามิ
“เว้นจากการฆ่าสัตว์และรังแกสัตว์”

๒.  อทินนาทานา  เวระมะณี  สิกขา  ปะทัง  สมาธิยามิ
“เว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เขาไม่ได้อนุญาต”

๓.  กาเมสุมิฉาจารา  เวระมะณี  สิกขา  ปะทัง  สมาธิยามิ
“เว้นจากการประพฤติผิดในกาม พอใจในสามีภรรยาของตน”
 
๔.  มุสาวาทา  เวระมะณี  สิกขา  ปะทัง  สมาธิยามิ
“เว้นจากการพูดคำเท็จ คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง และให้รวมไปถึงพูดสอดเสียด พูดคำหยาบ พูดคำเพ้อเจ้อ เพราะพระโสดาบันท่านละเว้นแบบนี้รวมไปถึงพระสกิทาคามี


๕.  สุราเมระยะ  มัชชะปะมา  ทัฏฐานา  เวระมะณี  สิกขา  ปะทัง 
      สมาธิยามิ

“เว้นจากการดื่มสุรา  และของหมักดอง เช่น เหล้าโรง กระแช สาโท และ  อื่นๆ  ที่ทำให้ขาดสติ

               ทั้ง ๕ ข้อนี้ ทำเองก็ดี ยุยงส่งเสริมก็ดี  พอใจในบุคคลอื่นที่ทำก็ดี  ใช้ให้คนอื่นทำก็ดี ถือว่ามีเจตนาละเมิดศีลทั้ง ๕ ข้อ              
              ถ้าหวังในพระสกิทาคามี ก็ให้ละความโลภ  ละความโกรธ 
ละความหลง ให้เบาบางลง  หรือเรียกได้ว่า  ยับยั้งมันได้


พระโสดาบัน  ละ  สังโยชน์  ๓
๑.สักกายทิฐิ  ใช้กำลังเบาๆ คิดว่าเราต้องตาย  คิดว่าความตายเป็ฯสมบัติของทุกคน
๒. วิจิกิจฉา   อารมณ์สงสัยในการปฏิบัติของตน และสงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระอริยสงฆ์เจ้า
๓. สีลัพพตปรามาส  รักษาศีลเท่าชีวิต และปรารถนาพระนิพพานเป็นอารมณ์

                 ถ้าอยากรู้เรื่องของพระโสดาบันให้ไปดูตัวอย่างเรื่องของนางเปรสักการรี  อนันทบิณฑกะเศรษฐี  นางวิสาขา  สุปะพุทธกุฐิ เป็นต้น
ซี่งอยู่ในเทปหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ( หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ )
 แห่งวัดท่าซุง
บันทึกการเข้า
kaew
Newbie
*
กระทู้: 31


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #25 เมื่อ: เมษายน 11, 2009, 03:10:27 pm »

ศีล  ๘
ศีลของพระอนาคามี

ศีล ๘ มีดังนี้

๑.ปาณาติปาตา  เวระมะณี  สิกขา  ปะทัง  สมาธิยามิ
“เว้นจากการฆ่าสัตว์ด้วยตนเองและใช้ผู้อื่นฆ่า”

๒. อทินนาทานา  เวระมะณี  สิกขา  ปะทัง  สมาธิยามิ
“เว้นจากการลักขโมยของผู้อื่นด้วยตนเองและใช้ให้ผู้อื่นลัก”

๓. อะพรัหมะจริยา  เวระมะณี  สิกขา  ปะทัง  สมาธิยามิ
“เว้นจากการประพฤติผิดในกาม

๔. มุสาวาทา  เวระมะณี  สิกขา  ปะทัง  สมาธิยามิ
“เว้นจากการพูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดคำเพ้อเจ้อ

๕. สุราเมระยะ  มัชชะปะมา  ทัฏฐานา  เวระมะณี  สิกขา  ปะทัง 
      สมาธิยามิ
   
  “ เว้นจากการดื่มสุรา  ของมึนเมาทุกชนิด”

๖. วิกาละโภชะนา  เวระมะณี  สิกขา  ปะทัง  สมาธิยามิ
“เว้นจากการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล คือตั้งแต่เที่ยงจนถึงรุ่งอรุนของวันใหม่”

๗. นัจจะคีตะวาทิตะวิสูกะ  ทัสสะนา  มาลาคันธะวิเล  ปะนะธาระณะ  มัณฑะนะวิภูสะนัฎฐานา  เวระมะณี  สิกขา  ปะทัง  สมาธิยามิ
“เว้นจากการฟ้อนรำ  ขับร้อง  ประโคม ดนตรี  และการดูการเล่น การสวมใส่ ตกแต่งร่างกายด้วยเครื่องประดับ และดอกไม้ของหอม  เครื่องฉาบทาลูบไล้ทุกชนิด”

๘. อุจจาสะยะนะมะหาสะยะนา  เวระมะณี  สิกขา  ปะทัง  สมาธิยามิ
“เว้นจากการนั่งนอนบนเตียงสูงใหญ่  ภายในยัดด้วยนุ่น  และสำลีอันวิจิตไปด้วยลวดลายงามด้วยเงินทอง

            พระอนาคนมี  ๔  ละกามราคะ คือ ความพอใจในของสวย  และเพศตรงข้าม สัมผัสจากอาตานะ  ๖  คือ ตาเห็นรูป เป็นต้น ๕  ละปฏิฆะอารมณ์ขัดเคือง  จัดว่าพระอนาคามีละสังโยชน์   ๕
บันทึกการเข้า
kaew
Newbie
*
กระทู้: 31


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #26 เมื่อ: เมษายน 13, 2009, 12:13:39 pm »

ศีล  ๑๐
ศีลของพระอรหันต์
(ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้สำหรับฆารวาส  ถ้าพระภิกษุต้องมีศีล ๒๒๗ ข้อ)


กรรมบถศีล  ๑๐  มีดังนี้
จัดเป็นกายกรรม คือทำด้วยกาย ๓ อย่าง
 
๑. ปาณาติปาตา  เวระมะณี  สิกขา  ปะทัง  สมาธิยามิ
“เว้นจากการฆ่าสัตว์และรังแกสัตว์”

๒. อทินนาทานา  เวระมะณี  สิกขา  ปะทัง  สมาธิยามิ“เว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เขาไม่ได้อนุญาต”

๓. กาเมสุมิฉาจารา  เวระมะณี  สิกขา  ปะทัง  สมาธิยามิ
“เว้นจากการประพฤติผิดในกาม พอใจในสามีภรรยาของตน”

จัดเป็นวจีกรรม
คือทำด้วยกาย  ๔  อย่าง

๔. มุสาวาทา  เวระมะณี
“ ไม่พูดเท็จ ”
๕. ปิสุนาวาจา  เวระมะณี
“ พูดไม่ส่อเสียด ”
๖. ผรุสวา  เวระมะณี
“ ไม่พูดคำหยาบ ”
๗. สัมผัปปลาปะ  เวระมะณี
"ไม่พูดเพ้อเจ้อ ”

จัดเป็นมโนกรรม
คือทำด้วยใจ ๓ อย่าง

๘. อนภิชฌา
“ ไม่โลภ ”
๙. อพยาบาท
“ ไม่พยาบาท ผูกโกรธ ปองร้ายเขา ”
๑๐. สัมมาทิฏฐิ
“ มีความเห็นตามที่พระพุทธเจ้าตรัสสั่งสอนทุกประการ ”

พระอรหันต์
สังโยชน์อีก ๕ ข้อ คือ

๖. รูปราคะ  หลงในรูปฌาน
๗. อรูปราคะ  หลงในอรูปฌาน
๘. มานะ  การถือตัวถือตน
๙. อุทธัจจะ  มีอารมณ์ฟุ้งซ่าน
๑๐.อวิชชา   ไม่รู้ตามความเป็นจริงเรื่องพระนิพพาน


อวิชชา
แปลได้ ๒ นัย คือ
ฉันทะกับราคะ

ฉันทะ
มีอารมณ์พอใจใน
มนุษย์โลก   เทวโลก  พรหมโลก


ราคะ
คิดว่าโลกมนุษย์นี้สวย
เทวโลกนี้สวย
พรหมโลกนี้สวย

             ถ้าบุคคลใดละ  ราคะ  กับ  ฉันทะได้ คือ ความพอใจในโลกทั้ง ๓ และคิดว่าโลกทั้ง ๓ เป็นของดี  ให้ตัดอารมณ์นี้  ก็จะถึงพระนิพพานได้จำไว้นะ  ธรรมะทั้งหลายเกิดขึ้นที่ใจศึกแล้วไม่ปฏิบัติก็ไม่ถึงใจ  เพราะมีแต่กายกับใจเท่านั้น
  ที่เขาปฏิบัติกัน

ให้ทุกคนพิจารณา  ๕  อย่างดังนี้
ทุกวันนะเพราะเป็นคำสอนของพระ
[/b][/u]

๑. ทุกคนควรพิจารณาทุกวันๆ  ว่าเรามีความแก่เป็นธรรมดา  ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้
๒. ทุกคนควรพิจารณาทุกวันๆ  ว่าเรามีความเจ็บเป็นธรรมดา  ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไปได้
๓. ทุกคนควรพิจารณาทุกวันๆ  ว่าเรามีความตายเป็นธรรมดา  ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้
๔. ทุกคนควรพิจารณาทุกวันๆ  ว่าเราต้องพลัดพรากจากของรักของชอบไปทั้งสิ้น
๕. ทุกคนควรพิจารณาทุกวันๆ  ว่าเรามีกรรมเป็นของตน  เราทำดีจักได้ดี  ทำชั่วจักได้ชั่ว


ถ้าทุกคนตั้งกำลังใจใน ๕ ประการนี้
มรรคผลนิพพานก็ถึงได้

๑. ศรัทธา   เชื่อมั่นในคำสั่งสอนของพระรัตนตรัย
๒. ศีล  แปลว่า  ปกติมีความบริสุทธิ์ด้วย  กาย  วาจา  ใจ
๓. พาหุสัจจะ  เป็นผู้ศึกษาและจำมามาก
๔. วิริยารัมภะ  ปรารถนาความเพียร คือ การปฏิบัติของตน
๕. ปัญญา  รอบรู้ในกองสังขาร คือ ขันธ์  ๕
บันทึกการเข้า
kaew
Newbie
*
กระทู้: 31


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #27 เมื่อ: เมษายน 15, 2009, 11:11:42 am »

พระคาถา

พระคาถามหามงคลโสฬส

โสฬะสะมังคะลัญเจวะ
นะวะโลกุตตะระธัมมะตา
จัดตาโรจะมหาทีปา
ปัญจะพุทธามหามุนี
ตรีปิฎะกะธัมมักขันธา
ฉะกามาวะจะระตะถะ
ปัญจะทะสะภะเวสัจจัง
ทะสะมังสิละเมวะจะ
เตรัสสะธุตังคาจะ
ปาฏิหารัญจะทะวาทะสะ
เอกะเมรุจะ  สุราอัฏฐะ
ทะเวจันทังสุริยังสัคคา
สัตตะโพชฌังคาเจวะ
จุททัสสะจักกะวัตติจะ
เอกาทะสะวิษะณุราชา
สัพเพเทวานังปาละยันตุสัพพะทา
เอเตนะมังคะละเตเชนะ
สัพพะโสตถีภะวันตุเม

ถ้าเป็นคนอื่นให้เปลี่ยนเป็น เต
ถ้าเป็นตนเองให้เป็น เม

พระคาถาแก้ทุกข์

พระอะระหังพุทโธ
อิติปิโส  ภะคะวา
ทุกข์ภัยมีมา  แก้ได้ทุกประการ

ก่อนจะนั่งละลึกถึง
พระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์
เวลามีปัญหาแก้ไม่ได้  คิดไม่ออก
ให้นั่งภาวนารู้ลมหายใจเข้าออก 
ภาวนาคาถานี้
พอใจสบายสักพักหนึ่ง
ก็จะรู้วิธีแก้ปัญหา  แก้ทุกข์ได้

พระคาถาลื่นไหล
นาฤคานัง  เมฆะจิตตัง
ปิยังมะมะ
   

เวลามีอุปสรรค์จวนตัว
ให้ภาวนาพระคาถานี้
จะรอดปลอดภัย
บันทึกการเข้า
kaew
Newbie
*
กระทู้: 31


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #28 เมื่อ: เมษายน 15, 2009, 11:15:14 am »

อิติปิโส  ๘  ทิศ

อิ    ระ     ชา    คะ    ตะ    ระ    สา 
ติ    หัง    จะ    โต    โร    ถิ     นัง
ปิ    สัม    ระ    โล     ปุ    สัต   พุท
โส   มา    ณะ    กะ    ริ     ถา    โธ 
ภะ   สัม    สัม    วิ     สะ    เท    ภะ
คะ   พุท    ปัน   ทู     ธัม    วะ    คะ
วา   โธ     โน   อะ     มะ    มะ    วา
อะ   วิ       สุ     นุ     สา    นุส    ติ
   

ใครได้มั่นท่องเจริญเป็นประจำ
ดุจดั่งเกราะเพชรคุ้มครอง


บารมี  ๓๐  ทัศ

อิติ  ปาระ  มิตาติงสา
อิติ  สัพพัญยู  มาคะตา
อิติ  โพธิมนุปปัตโต
อิติ  ปิโส  จะเตนะโม

แล้วแต่จะใช้เถิด  ประเสริฐนักแล
บันทึกการเข้า
kaew
Newbie
*
กระทู้: 31


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #29 เมื่อ: เมษายน 23, 2009, 04:53:04 pm »

คาถาแก้วสารพัดนึก
หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี

นะโม เม  สัพพะพุทธานัง
อุปปันนานัง  มะเหสินัง
ตันหังกะโร  มะหาวีโร
เมธังกะโร  มะหายะโส
สะระณังกะโร  โลกะหิโต
ทีปังกะโร  ชุตินทะโร
โกณฑัญโญ  ชะนะปาโมกโข
มังคะโล  ปุริสาสะโภ
สุมะโน  สุมะโน  ธีโร 
เรวะโต  ระติวัฑฒะโน
โสภีโต  คุณะสัมปันโน
อะโนมะทัสสี   ชะนุตตะโม
ปะทุโม  โลกะปัชโชโต
นาระโท  วะระสาระถี
ปะทุมุตตะโร  สัตตะสาโร
สุเมโธ  อัปปะฏิปุคคะโล
สุชาโต  สัพพะโลกัคโค
ปิยะทัสสี  นะราสะโภ
อัตถะทัสสี  การุนิโก
ธัมมะทัสสี  ตะโมนุโท
สิทธัสโถ  อะสะโม  โลเก
ติสโส  จะ  วะทะตัง  วะโร
ปุสโส  จะ  วะระโท  พุทโธ
วิปัสสี  จะ  อะนูปะโม
สีขี  สัพพะหิโต  สัตถา
เวสสะภู  สุขะทายะโก
กะกุสันโธ  สัตถะวาโห
โกนาคะมะโน  ระณัญชะโห
กัสสะโป  สิริสัมปันโน
โคตะโม  สักยะปุงคะโว


พระคาถาก่อนเดินทาง
หรือก่อนขับรถ

พุทโธอยู่ข้างหลัง  พุทธังอยู่ข้างหน้า
ตัวข้าอยู่กลาง  พระสังฆังไปหน้าก่อน
ปฐวี   ปฐวี  ปฐวี
 
ตอนปฐวีให้โบกมือไปข้างหน้า  ๓  ทิศ
ทิศละครั้ง  จะเดินทางแคล้วคาด
ปลอดภัยทุกประการ  คาถานี้ได้จากโยมที่
ตายแล้วฟื้น  บอกว่าพระให้มา
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.15 | SMF © 2006-2008, Simple Machines | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!