ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
พฤษภาคม 29, 2024, 05:57:31 am
หน้าแรก ช่วยเหลือ ค้นหา เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก
ข่าว: งานเทศนาธรรม และการสอนปฏิบัติกัมมัฏฐาน
๏ ทุกวันอาทิตย์ท่ี ๑ ของเดือน เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๒.๐๐ น. ณ บ้านธรรมยอดไกรศรี ๑๒๘/๖๘ หมู่บ้านคาซ่าวิลล์ พระราม ๒-๒ ถนนพระรามท่ี ๒ ซอย ๕๐ (ซอยวัดกําแพง) เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ
๏ ทุกวันอาทิตย์ท่ี ๒ ของเดือน เวลา ๑๓.๐๐ - ๑๕.๓๐ น. ณ บ้านคุณหมอศรุตา ฟักนวม จังหวัดนครปฐม
๏ทุกวันศุกร์ถึงอาทิตย์ที่ ๓ ของเดือนมีการเก็บกัมมัฏฐาน ภาคปฏิบัติ ณ สํานักปฏิบัติ อัญญาวิโมกข์โ์พธิรังษี (วัดป่ากล้วยไม้ดิน) บ้านหนองฟักทอง ตําบลปากช่อง อําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
๏ แสดงธรรมงานบวชเนกขัมมะประจําปี ณ ศูนย์พุทธศรัทธา บ้านหมอ จ.สระบุรี ในวันมาฆบูชา, วันวิสาขบชูา และวันพ่อ-วันแม่แห่งชาติ (ถ้าธาตุขันธ์องค์หลวงพ่อไม่อาพาธ ก็จะไปมิได้ขาด)
สอบถามรายละเอียดเพ่ิมเติมได้ท่ี คุณสายพิณ โทร. ๐๘-๙๙๐๐-๗๓๙๙ หรือ www.kubajaophet.com
หมายเหตุ : ตารางเวลาอาจมีการเปล่ียนแปลงได้ตามความเหมาะสม

  แสดงกระทู้
หน้า: [1]
1  บอร์ดหลัก / สาระน่ารู้ / ผู้ใดเห็นทุกข์ ผู้นั้นเห็นธรรม เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2010, 11:55:31 pm
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต
ผู้ใดเห็นเราตถาคต ผู้นั้นเห็นนิพพาน “

(พุทธวจนะ)


“ทุกข์”ก็คือ”ตาเนื้อ”เชื่อหรือไม่?……. “ธรรม”ก็คือ”ตาใน”จำไว้หนอ………
“เห็นทุกข์”คือ”เห็นรูปธรรม”นำพะนอ………. “ดิน-น้ำ“หนอ “ไฟ-ลม”ผสมกัน…….
“เห็นธรรม”คือ”เห็นนามธรรม” “จำ-รู้สึก”……. “ความคิดนึก”และ”สัมผัส”ที่จัดสรร……
“ตถาคต”คือ”ตาในตา”สารพัน………. “รู้แจ้ง”ทันเท่ามายาในสากล…….
“ตาในตา” “ทิพย์จักษุ”บรรลุแล้ว……… เหมือนดวงแก้วทรงฤทธิ์ประสิทธิ์ผล……
“เห็นตถาคต”คือ”ความคิดในจิต”คน……… “ไม่มีตน-ตัวเรา”ด้วยเข้าใจ………
“จิตละรูป”เพียงดูแค่รู้สึก……….. มิคิดนึก”ชัง”หรือคิด “พิศมัย”…..
เป็น “ผู้รู้-ผู้ตื่น-ผู้เบิกบาน”ใจ……… ด้วย “ตาในตา””พุทธะ”จิต “ละวาง”…….
“นิพพาน”หรือคือ”ธรรมจักษุ”………. “ตา”บรรลุ “เห็นธรรมะ”ใสกระจ่าง………
“เห็นนิพพาน””สุญญตา”มาเปิดทาง….. ดวง”จิตว่าง”จากกิเลสเหตุมายา……..
ว่างจาก”เครื่องร้อยรัด”ที่มัดจิต…………. ว่างจากพิษแห่งสมมุติสุดสรรหา……..
ไร้รูป-นามสิ้นห่วง”ภาพลวงตา”……… “นิพพานา”เป็นสุขทุกวันคืน…………
“ผู้เห็นทุกข์””เห็นธาตุสี่”นี่”ตัวเรา”…… รวมกันเข้าผูกมัดไม่ขัดขืน……..
ทั้ง”ดิน-น้ำ-ไฟ-ลม”ช่างกลมกลืน………. กิเลสรื่นครื้นเครงบรรเลงรมย์…….
เป็น”ตัวเรา”เดือดร้อนเป็น”ก้อนทุกข์”……. “ตัณหา”คลุกเคล้าสร้างไว้ให้ขื่นขม…….
ไม่รู้จักคำว่า”พอ”ก่อตรอมตรม……….. “สามพอ”คมคายนักรู้สักนิด!!………
หาก”พอกิน””พอใช้”ใคร”พออยู่”?……… “ผู้นั้นรู้ถึงแก่นธรรม”เลิศล้ำจิต………
“เป็นธรรมชาติ”แท้จริงยิ่งชีวิต……….. หากใครคิดออกไร้ทุกข์เป็นสุขเทอญฯ……
ธรรมชาติรังสรรค์เจ้า-ตัวเราด้วย…… เรียนรู้ช่วยเหล่ามนุษย์สุดสรรเสริญ……
ให้เรียนรู้"ไม่ยึดติด"ไม่ชิดเชิญ……… ไม่ขาดเกินแล้ว”ปล่อยวาง”ทุกอย่างลง…..
ร่างกาย-อาศัย”ข้าว-ผ้า-ยาและบ้าน”……. “สี่ประการ”ก็อยู่ได้มิใหลหลง……..
"ไม่มีทุกข์สุขใจ"เมื่อได้ปลง……….. ชีพดำรงคงทำดีมีมงคล………
“ผู้เห็นธรรม””เห็นตัวเรา”ไม่เขลาโง่……มุ่งสู่”โพธิญ าณ”ตระการผล………
"รูปธรรมสี่-นามธรรมสี่"มีทุกคน……… แยกแยะตนออกให้เห็นอย่างเด่นชัด!!……
“รูปธรรมสี่”คือ”ธาตุสี่”มี”ดิน-น้ำ-……. ไฟ-ลม”ย้ำตามรุกทุกขสัจจ์………
“นามธรรมสี่””รู้สึก-จำ”เห็นธรรมชัด……… “คิด-สัมผัส”ปรุงแต่งแหล่งรับรู้…….
ละเอียดมีเพียง”สี่คู่”ดูให้ดี…….. ย่ออีกทีมองให้ซึ้งเหลือ”หนึ่งคู่”…….
“รูปกับนาม”กระทบกันเท่านั้นดู…….. ก็จะรู้นี่”มายา”ชีวาเรา……..
“เห็นตัวตน”แล้วอย่าหลงพะวงคิด…….. เป็น”พุทธจิต”จิตเดิมแท้ช่วยแก้เขลา……
"ละทั้งรูป-ละทั้งนาม"เกิดความเบา……… เป็นแค่"เงาตามร่าง"ก็ช่างมัน!!…….
เป็น"จิตเดิมใส"ยิ่งกว่าธาราน้ำ………. ไม่ชอกช้ำบริสุทธิ์ประดุจฝัน………
บริสุทธิ์ยิ่งกว่าอากาศพิลาศครัน…….. เป็น”ต้นธาตุ-ต้นธรรม์”นิรันดร……
“ผู้ใดเห็นตถาคต”ปรากฏเด่น…….. “ผู้นั้นเห็นนิพพานะ”ประภัสสร……..
เห็นทุกสิ่งเพียงมายาทุกท่าตอน…….. ไม่เดือดร้อน”เครื่องร้อยรัด”สลัดไป…….
“รูป-นาม”เป็น”ภาพลวงตา”สารพัด…… เลิกผูกมัดพบหนทางสว่างไสว…….
เพราะไม่มีฝุ่นละอองเกาะข้องใจ…….. ด้วย”ละ”ได้ใน”ทุกสิ่ง”แล้ว”ทิ้ง”เลย



2  บอร์ดหลัก / สาระน่ารู้ / เรื่องดีๆ ที่น่าคิด เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2010, 11:47:43 pm
ขอพวกเราทั้งหลายจำไว้เถิด
ว่าการเกิดนี้ลำบากยากนักหนา
ครั้นคนเราได้กำเนิดเกิดขึ้นมา
ก็กลับพากันถึงซึ่งความตาย

( หลวงวิจิตรวาทการ)


ต้องเวียนเกิดเวียนตายตามบุญบาป
เมื่อไรทราบธรรมแท้ไม่แปรผัน
ไม่ต้องเกิดไม่ต้องตายสบายครัน
มีเท่านั้นใครหาพบจบกันเอย

( ท่านพุทธทาสภิกขุ)


กายนี้ท่านเปรียบดั่งท่อนไม้
ครั้นดับไปสมมติว่าเป็นผี
เครื่องเปื่อยเน่าสะสมถมปฐพี
เหมือนกันทั้งผู้ดีและเข็ญใจ

( เจ้าพระยาคลัง หน)


อันรูปรสกลิ่นเสียงนั้นเพียงหลอก
ไม่จริงดอกอวิชชาพาให้หลง
อย่าลืมนะร่างกายไม่เที่ยงตรง
ไม่ยืนยงทรงอยู่คู่ฟ้าเอย

( จากหนังสือเก่าโบราณ)


กลางทะเลอวกาศที่เวิ้งว้าง
สรรพสิ่งได้ถูกสร้างแปลงไว้
จากดินน้ำลมและไฟ
ก่อเกิดเป็นสิ่งใหม่เรื่อยมา

เมื่อถึงคราวแตกดับ
สรรพสิ่งก็หมุนกลับไปหา
ธรรมชาติเดิมแท้นั้นอีกครา
เวียนกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น
 ยิ้มกว้างๆ
3  บอร์ดหลัก / สาระน่ารู้ / พระพุทธองค์ทรงโปรดสัตว์โลก เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2010, 11:43:45 pm
คนชั่วช้า แต่สำนึก ระลึกรู้
น่าเชิดชู ควรอภัย ไม่เหยียบย่ำ
ซ้ำเพียรบุญ สร้างกุศล เร่งพ้นกรรม
ย่อมเลิศล้ำ ไปสู่แคว้น แดนวิมาน

ที่นคร สาวัตถี มีเรื่องเล่า
เป็นเรื่องเก่า เขียนไว้ดี มีหลักฐาน
ณ คืนหนึ่ง มีแสงไฟ ใหญ่ตระการ
ที่ในบ้าน ของหญิงหนึ่ง ( นางมันตานี ) ซึ่งตั้งครรภ์

แสงสว่าง แผ่รังสี ที่ยิ่งใหญ่
ส่องไปไกล มองเห็น เป็นชั้นๆ
ประเดี๋ยวเดียว เด็กก็คลอด ปลอดภัยพลัน
เป็นเด็กชาย ผิวพรรณ วรรณะงาม

ผู้บิดา ซึ่งเป็นพราหมณ์ ตามประคบ
เข้าสมทบ ลูบไล้ สุดใจห้าม
ณ บนฟ้า มีเสียงร้อง ก้องคำราม
ดูฤกษ์ยาม คืนนี้ มิมีคุณ

เป็นฤกษ์โจร โหรทำนาย ทายว่าแย่
จะฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ มีแต่วุ่น
มิอาจหวัง ได้อาศัย พึ่งใบบุญ
ด้วยบาปหนุน มาแต่ก่อน ย้อนกลับคืน

ผู้บิดา นอนตรึก นึกเรื่องนี้
ทำไงดี แสนอึดอัด ยากขัดขืน
ดั่งดวงใจ โดนสุม รุมด้วยฟืน
ลุกขึ้นยืน ก้าวเท้า เข้าสู่วัง

เพื่อเข้าเฝ้า พระราชา ปรึกษาท่าน
ค่อยๆคลาน ก้มผ่าน ม่านด้านหลัง
พระราชา นั่งติดห้อง ท้องพระคลัง
กล่าวเสียงดัง มีอะไร ให้ช่วยฤา

ขอย้อนเล่า เรื่องราว คร่าวๆก่อน
อันบิดร เด็กน้อยนั่น นั้นมีชื่อ
พราหมณ์คัคคะ เป็นคนดี มีฝีมือ
ที่เลื่องลือ คือดูฤกษ์ ได้เกริกไกร...

...พระราชา ตะโกนย้ำ ซ้ำสองหน
พราหมณ์คัคคะ ร้อนรน ปนหมองไหม้
แล้วเล่าเรื่อง เด็กที่เกิด เปิดความนัย
ว่าเด็กน้อย คือภัย ในแผ่นดิน

ขอพระองค์ จงจับตัว ปลิดหัวเด็ก
มหาดเล็ก นั่งอยู่ใกล้ ใจแทบสิ้น
พราหมณ์คัคคะ กล่าววาจา น้ำตาริน
พระราชา ได้ยิน ผินพักต์เมิน

ช้าก่อนหนา ท่านพราหมณ์ ขอถามก่อน
อย่าใจร้อน อย่ามองแต่ แค่ผิวเผิน
สิ่งที่เกิด อาจจะเป็น เช่นบังเอิญ
ข้าขอเชิญ ท่านจงนั่ง ตั้งใจฟัง

เจ้าจงเลี้ยง ลูกไว้ อย่าไกลห่าง
อย่าละวาง จำไว้หนา ที่ข้าสั่ง
ฟังดีๆ แต่นี้ไป ให้ระวัง
อย่าเผลอพลั้ง ปล่อยไปไหน จนไกลตา

เมื่อได้ยิน เช่นนั้น พราหมณ์หันกลับ
ไหว้คำนับ เดินลง ที่ตรงท่า
พายเรือออก เคลื่อนไป ในคงคา
เสียงเด็กน้อย ร้องจ้า ท้องฟ้าดำ

พราหมณ์คัคคะ เกิดโทสะ จะโยนทิ้ง
เสียงร้องนิ่ง ฝนโปรยหล่น จนชุ่มฉ่ำ
เริ่มคิดได้ ไม่อยากก่อ ต่อเวรกรรม
ฝนพรำๆ หยุดสนิท จิตเริ่มเย็น

แล้วจากนั้น ก้มลงจูบ ลูบใบหน้า
พลันน้ำตา รินไหล หัวใจเต้น
ต่อนี้ไป ข้าจะขอ ก่อบำเพ็ญ
ให้เฉกเช่น พระสงฆ์ องค์สัมมา

ข้าขอตั้ง ชื่อเจ้าไว้ ให้ดียิ่ง
คืออหิง สกะ นะลูกข้า
จะเลี้ยงเจ้า ด้วยจิตใจ ให้เมตตา
ตามคำสั่ง พระราชา ข้าสาบาน

( นาง )มันตานี ผู้เป็นแม่ ชะแง้ชะเง้อ
หัวใจเธอ คละคลุ้ง ด้วยฟุ้งซ่าน
นั่งเหม่อมอง เฝ้าดู อยู่นอกชาน
ดุจไฟผลาญ ในหัวใจ แทบไหม้จุล

พราหมณ์ คัคคะ ขึ้นสู่ฝั่ง ทางหลังบ้าน
ผ่านต้นตาล และต้นไทร เข้าใต้ถุน
มันตานี ร้องไห้โฮ โถพ่อคุณ
จับเด็กน้อย วางตักอุ่น ให้หนุนนอน

อหิงสกะ เป็นเด็กเรียนดี.....

อหิงสกะ มาะนะเรียน เพียรหมั่นสู้
ช่างเรียนรู้ จดจำ ทุกคำสอน
เป็นศิษย์รัก ที่ครูเกื้อ เอื้ออาทร
ทุกขั้นตอน ครูสอนให้ ไม่ปิดบัง ..
4  บอร์ดหลัก / สาระน่ารู้ / เรื่องดีๆ ที่น่าคิด เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2010, 11:11:28 pm
ไผ่แก่ลำผุเป็นผุย
ใบเหลืองหลุดลุ่ยร่ายร่อน
ไปตามสายลมว่อนวอน
ผัดผ่อนโผเผเพลา

ท่ามกลางพบพรากผองเพื่อน
พี่น้องกองเกลื่อนกล่นหน้า
ลูกหลานพันผูกกายา
เสาะหาผลประโยชน์รุงรัง

ผันผ่านผันผุลู่ลิ่ว
ปลิดปลิวทิ้งซากฝากฝัง
ลูกหลานเกาะเกี่ยวซากพัง
รุมรั้งกินศพชรา

ชายแก่หลังโก่งกายผอม
มีแมวมอมเป็นเพื่อนคบหา
ข้างกายโผเผเพลา
เหว่ว้าอาดูรดวงใจ

ท่ามกลางพบพรากผองเพื่อน
ลูกหลานกลาดเกลื่อนรับใช้
พอแก่แปรผันวันวัย
ลูกหลานลื่นไหลจากจร

ผันผ่านผันผุลู่ลิ่ว
ปลิดปลิวทิ้งซากฝากสอน
ลูกหลายเคยจากกลับจร
ยอกย้อนมายื้อซากพัง

แย่งยื้อรื้อค้นสมบัติ
มรดกวกกัดคลุ้มคลั่ง
ศพนอนนอนซบซากชิงชัง
รินหลั่งน้ำตา....ล้าโรย....

สิริมงคล ๒๖/๓/๔๑

มิเห็นโลงศพมิหลั่งน้ำตา
เป็นสุภาษิตจีนเก่าแก่
ทว่าเดี๋ยวนี้ไม่แน่
เป็นศพแท้แท้ยังหลั่งน้ำตา

มรด๊กมรดก
สมบัติวกกัดเข่นฆ่า
พี่น้องคลานตามกันมา
ตกตายเกลื่อนตาจนชิน

ตัณหาราคะคราโลภ
ละโมบไม่รู้จักสิ้น
บรรพชนนอนน้ำตาริน
ลูกหลานไม่ผินดูสักตา

สิ่งสุดท้าย

สิ้นสุดการเดินทางปล่อยวางพัก
ทั้งชีวิตทำงานหนักเพื่อความฝัน
โดยภาระสิ้นสุดประดุจจันทร์
สิ้นแสงส่องแปรผันกาลเวลา

สมบัติประดับร่างวางไว้ก่อน
หลับตานอนพักกายใกล้ชายป่า
อย่าพะวงสงสัยโชคชะตา
ตายแล้วหยุดแสวงหาพบสิ่งใด

นอนฟังเพลงสวดมนต์ธรรมวจนะ
เป็นจังหวะไพเราะเสนาะใส
เสียงบรรเลงเพลงมนต์จรรโลงใจ
กล่อมภายในชีวิตวิจิตรกาล

ผองเพื่อนมิตรนำร่างมาวางพัก
ศาลาหลักแห่งชีวิตประดิษฐาน
ทุกชีวิตต้องพักตามหลักการ
เพื่อสรรค์สร้างสืบสานความเป็นคน

สิ้นสุดแล้วการเดินทางของชีวิต
มั่นสถิตหยุดรักพักสืบค้น
หลับตาให้สนิทอย่าคิดกังวล
ทางถนนเดินดินสิ้นสุดแล้ว

กระต่ายใต้เงาจันทร์
5  บอร์ดหลัก / สาระน่ารู้ / บาป ที่อร่อยสะใจ! เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2010, 11:06:03 pm
บาป ที่อร่อยสะใจ…

การพูดนินทาเป็นนิสัย เป็นความสุขเฉพาะบางคน บางคนที่เห็นว่า ช่างเอร็ดอร่อยในอารมณ์ สะปาก สะใจเหลือเกิน หากกล่าวถึงผู้อื่นลับหลังในทางร้าย ทั้งเกินจริงและไม่จริงให้ใครต่อใครได้ฟัง เป็นความอร่อยเหมือนกินอาหารอิ่มเอมเต็มมื้อทีเดียว เพราะเหตุที่ไม่ได้พูดต่อหน้าเป้าหมาย จึงสบายอุรา นินทาได้นาน จะใส่สีตีไข่ ปรุงรสให้แซ่บแค่ไหนก็ทำได้ บันเทิงกันทั้งผู้พูดและผู้ฟัง ทั้งสังคมเล็ก สังคมใหญ่ ทั้งไฮโซ โลโซ เป็นอาหารหูอาหารใจกันได้ทั้งนั้น ทั้งๆที่แท้ มันก็เป็นความผิดทางวาจา ผู้พูดอร่อยกับคำพูด เสียจนลืมคิดไปว่า การใช้คำพูดที่เกินจริง หรือไม่จริง ว่าร้ายผู้อื่นนั้น ก็เป็นมุสาวาทะ และเป็นบาปที่จะนำตนไปสู่อบายภูมิเหมือนกัน


หลวงปู่ทวด“....พูดมาก เสียมาก พูดน้อย เสียน้อย ไม่พูด ไม่เสีย นิ่งเสีย โพธิสัตว์...”

พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต“…การกล่าวโทษผู้อื่นโดยขาดการไตรตรอง เป็นการสั่งสมโทษและบาปใส่ตนให้ได้รับความทุกข์ จึงควรสลดสังเวชต่อความผิดของตน งดความเห็นที่เป็นบาปภัยแก่ตนเสีย ความทุกข์เป็นของน่าเกลียด น่ากลัว แต่สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ทำไมพอใจสร้างขึ้นเอง...”


สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต)“… ศิลาใหญ่ย่อมไม่หวั่นไหวด้วยลมฉันใด คนมีปัญญาย่อมไม่หวั่นในคำนินทาหรือสรรเสริญของบุคคลอื่นฉันนั้น...”

6  บอร์ดหลัก / สาระน่ารู้ / 21 ข้อน่าคิดว่าจริงไหม? เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2010, 10:41:23 pm
21 ข้อน่าคิดว่าจริงไหม?


1.รักเริ่มต้นด้วยรอยยิ้ม เติบโตด้วยการจุมพิต และจบลงด้วยน้ำตา

2.อย่าเสียน้ำตาให้กับคนที่ไม่เคยเสียน้ำตาให้คุณ

3.ถ้าความรักไม่ใช่เกม,ทำไมจึงมีผู้เล่นเกมรักหลายคน

4.เพื่อนที่ดีนั้นหายาก แต่ยากกว่าในการจะลาจาก และเป็นไปไม่ได้ที่จะลืมเลือน

5.คุณไปได้ไกลเท่าที่คุณผลักดันตัวเอง

6.การกระทำดังกว่าคำพูด

7.สิ่งที่ทำยากที่สุด คือ การมองดูคนที่คุณรัก ไปรักคนอื่น

8.อย่าให้อดีตยึดคุณไว้ คุณจะพลาดสิ่งดีๆที่จะผ่านมา

9.ชีวิตนั้นสั้นนัก ถ้าครั้งหนึ่งในชีวิต คุณไม่หยุดมองดูมันให้กว้างๆ ทั่วๆ สักครู่ คณจะพลาดมัน

10.เพื่อนที่ดีที่สุดเหมือน ใบไม้สี่กลีบ(สัญลักษณ์แห่งความโชคดี) ยากที่จะหาพบ และ โชคดีที่มีมัน

11.คนบางคนทำให้โลกนี้เป็นโลกที่แสนพิเศษเพียงแค่มีเค้าอยู่ในโลกใบนี้เท่านั้น

12. มิตรแท้ คือ พี่-น้อง ที่พระเจ้า ลืมให้มาเกิดในครอบครัวเดียวกันกับเรา เท่านั้นเอง

13.เมื่อคุณเจ็บปวดที่จะมองกลับหลัง และ หวาดกลัวที่จะมองไปข้างหน้า เพียงคุณ มองไปข้างๆ เพื่อนที่ดีที่สุดของคุณจะอยู่ที่นั่น

14.สัมพันธภาพที่แท้จริงไม่มีวันจบสิ้น

15.เพื่อนจะคงอยู่ตลอดไป

16.เพื่อนที่ดีเหมือนดวงดาว คุณจะไม่ได้เห็นพวกเขาตลอดเวลา แต่คุณจะรู้ว่าเขาอยู่ที่นั่นเสมอ

17.อย่าขมวดคิ้วเลย เธอไม่เคยรู้หรอกว่ามีใครบางคนหลงรักรอยยิ้มของเธอ

18.คุณจะทำอย่างไร เมื่อคุณรู้ว่าเพียงคนๆเดียวที่จะทำให้คุณหยุดร้องไห้ได้ คือคนที่ทำให้คุณร้องไห้

19.ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ จนกระทั่งคุณตกหลุมรักเขาแล้ว (เมื่อคุณหลงรักใคร คุณจะคิดว่าเขาสมบูรณ์แบบ)

20.ทุกสิ่งทุกอย่างจะ OK ตอนจบ ถ้าไม่แล้ว แสดงว่านั่นยังไม่ใช่จุดจบ

21.คนส่วนมากผ่านมาและผ่านไปในชีวิตคุณ แต่มีเพียงเพื่อนเท่านั้นที่ทิ้งรอยเท้าไว้ในหัวใจคุณ

-------------------------
7  บอร์ดหลัก / สาระน่ารู้ / 10 ข้อ คิดอย่างมุมมองที่แตกต่าง เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2010, 10:22:40 pm
1. ไม่ว่าวันนี้จะเลวร้ายแค่ไหน จงยิ้มเข้าไว้ .... เพราะพรุ่งนี้อาจจะเลวร้ายยิ่งกว่า

2. คำว่า 'พรุ่งนี้รวย' ของคนขายลอตเตอรี่ ไม่ใช่คำมั่นสัญญา แต่เป็นปรัชญาที่ต้องตีความ .... เช่นเดียวกับคำพูดของนักการเมือง

3. สิ่งที่คนเมาพูด คือ สิ่งที่คนปกติคิด

4. ปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ แต่ไม่ว่าคุณจะแก้ดียังไง มันก็จะนำไปสู่ปัญหาใหม่ ที่ต้องให้คุณคิดหาทางแก้ไขต่อไป .... เป็นเช่นนี้เรื่อยไป

5. ทุกปัญหาย่อมมีวิธีแก้ที่ง่ายที่สุด .... แต่วิธีแก้ที่ง่ายที่สุด จะพบหลังจากใช้วิธียากที่สุดไปแล้ว

6. อะไรก็ตามที่คุณอยากจะถาม .... เป็นไปได้มากว่า มันคือสิ่งที่คุณไม่ควรจะรู้

7. คนเรามีแนวโน้มที่จะพูดในเรื่องที่ไม่ควรพูด ในเวลาที่ไม่เหมาะสมที่สุด และกับคนที่ไม่น่าจะพูดด้วยที่สุด

8. สินค้าที่ประสบความสำเร็จทางการตลาดที่สุด คือ สินค้าที่คนโง่ที่สุดใช้เป็น และอยากจะใช้ แม้จะไม่มีประโยชน์อะไรเลยก็ตาม

9. เมื่อคุณมาประชุมสาย ประธานจะมาตรงเวลา และเมื่อคุณมาตรงเวลา การประชุมจะเลื่อนไป .... ไม่มีกำหนด

10. อะไรก็ตามที่คุณคิดได้และรู้สึกว่ามันสุดยอดจริงๆคุณก็จะพบว่ามีคนอื่นที่ไหนสักแห่งคิดมาแล้ว ....


8  บอร์ดหลัก / สาระน่ารู้ / นำมาฝาก- เศษผมในแก้วน้ำ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2010, 09:44:04 pm
น้ำใสในแก้วฉ่ำเย็น น่าดื่มกินเพียงใด

หากแม้นมีเพียงเส้นผมเส้นเดียว หย่อนลงไปปนอยู่ในน้ำในแก้วนั้น

น้ำที่ว่าใส เย็นฉ่ำ น่าดื่มกิน ก็หมดซึ่งคุณค่าไป

เป็นที่น่ารังเกียจ ไม่อาจดื่มกินลงไปได้

น้ำใสนี้ กลายเป็นน้ำที่ไม่น่าดูไม่น่าดื่ม

ก็ด้วยความน่ารังเกียจ ของสิ่งที่ปนเปื้อน ที่ใส่เข้าไป"

"ความดี" ก็เป็นดั่งนี้ ทำความดีทำไว้มากเพียงใดก็เหมือนดังเติมน้ำลงไปใส่น้ำลงไปในแก้ว ความดีเปรียบดังน้ำที่ใสสะอาด ฉ่ำเย็น น่าดื่ม น่ากิน แต่เมื่อใดที่ผิดพลาดพลั้งเผลอนำความชั่ว แม้เพียงครั้งเดียว ด้วยความไม่รู้ด้วยความไม่ตั้งใจหรือด้วยเหตุใดๆ ก็เปรียบเหมือนดั่งหย่อนเส้นผมลงไปในน้ำในแก้วนั้น ความดีที่สร้างที่ประจักษ์อยู่ก็จะทำให้ผู้ที่เป็นเจ้าของความดีนั้นมัวหมองลงไปด้วยความไม่ดี ด้วยความชั่วที่ตนกระทำ

นี้เป็นการมอง...นี่เป็นการมองของคนในโลกมนุษย์ทั้งหลาย ชอบที่จะมอง"ความเลว"ของผู้อื่น แทนที่จะมองซึ่ง "ความใสสะอาด" อันเป็นเหมือนดั่ง "ความดี"ของผู้นั้น "น้ำในแก้วใสสะอาดแต่ไม่มีใครมอง กลับมัวแต่มองเส้นผมเส้นเดียวที่อยู่ในแก้วนั้น"นี่เป็นการมอง...นี่เป็นการมองที่เป็นของคนทั้งหลาย เป็นการมองของปุถุชนผู้ยังมีกิเลสอยู่

แต่หากเป็นผู้รู้ ผู้มีปัญญา ผู้เป็นบัณฑิต เขาจะไม่มองแบบนั้น เขาจะยังมองคุณค่าของแก้วน้ำที่มีน้ำใสอยู่แต่จะหยิบเส้นผมนั้นออกไป แก้วน้ำนั้นก็บรรจุน้ำใสเหมือนดั่งเดิม แม้อาจจะไม่น่าดื่มกินแต่ก็ยังดีที่ยังน่ามอง และสามารถให้ประโยชน์ กับสิ่งมีชีวิตอื่นนอกเหนือจากตน อาจเป็นต้นไม้ อาจเป็นสัตว์อื่น ที่จะยังคุณค่าให้กับสิ่งมีชีวิตนั้น น้ำก็ยังมีคุณค่าของน้ำ เส้นผมที่เป็นเศษเส้นผมก็ด้อยค่าตามลงไป

"ผู้มีปัญญา" จึงต้อง รู้จักมอง รู้จักเลือกที่จะมอง รู้จักที่จะดำรงตน เพื่อให้รู้จักเห็น รู้จักคิด มองในส่วนที่ดี มองเห็นในส่วนที่ชอบ และหยิบสิ่งที่เป็นส่วนเสียของผู้อื่นให้ทิ้งไป การมองแบบนี้จะทำให้โลกสงบร่มเย็นเต็มไปด้วยความสุข ไม่เพ่งโทษ ไม่กล่าวร้าย ไม่นินทา ไม่ว่ากล่าวใดๆ อันนำมาซึ่งความทุกข์ให้กับตนและกับผู้อื่นจึงน่าสังเวชยิ่งกับผู้ที่ไม่รู้จักมอง "ผู้ที่ด้อยปัญญา" มัวแต่นินทา มัวแต่ว่ากล่าว มัวแต่กล่าวโทษ เพ่งโทษ ไม่หันกลับมามองตน

เฉกเช่นเดียวกันหากแก้วน้ำนั้น...เป็นของตนเอง เส้นผมนั้น...เป็นของตนเอง กลับไม่น่ารังเกียจยังสามารถดื่มกิน ยังสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มใจ

หากเป็นของตนทั้ง "ดี" และ "ชั่ว" กลับภูมิใจ.. ไม่อาจบอกใคร แต่หากเป็นของผู้อื่นแล้วไซร้กลับน่ารังเกียจ

ผู้มีปัญญา จึงต้องมองให้ลึกและมองให้เห็นว่า การมองตนกับการมองผู้อื่นสิ่งไหนสำคัญยิ่งกว่ากัน? จึงอยากบอกกล่าวและอยากเผยแพร่ให้บอกออกไปว่า


"หากคิดจะมองสิ่งใด ความดี หรือ ความชั่ว ต้องกลับมองมาที่ตัวตนของตนเองเถิด"

เพราะเมื่อใดก็ตามที่รู้จักมองและสามารถพบเห็นความผิดความบกพร่องของตนได้ ก็เหมือนดั่งการหยิบจับเอาเส้นผมนั้นทิ้งไปจากแก้วน้ำ น้ำนั้นก็มีคุณค่ากับตนเองได้ตนก็ยังได้ประโยชน์จากน้ำนั้น เปรียบเหมือนดั่งตนก็ได้ประโยชน์จากความดีที่ตนกระทำ เพราะได้หยิบจับความชั่วหรือหลีกลี้หนีไกลจากความชั่วช้าให้หมดไปนั่นเอง

เมื่อจิตของผู้ใดคิดได้แบบนี้ก็จะสามารถดำรงตนด้วยความสุข และสามารถขัดเกลากิเลสออกจากจิตของตน ก็จะทำให้จิตเปรียบเหมือนดั่งน้ำใสอยู่ในแก้วใสเย็นฉ่ำชื่นใจตลอดเวลา ยังประโยชน์ให้กับตนและยังประโยชน์ให้กับผู้อื่น ถือเป็นคุณค่าที่สุดแล้ว

"ความดี" อย่างไรก็คือ "ความดี"
ความดีของผู้อื่น กับ ความดีของตนเปรียบเทียบกันไม่ได้ ความดีของผู้อื่นกับความดีของตน.เปรียบเทียบกันไม่ได้ ความดีของผู้ใดก็ให้เปรียบเทียบภายในกับความดีของผู้นั้น ไม่ต้องเพ่งโทษไม่ต้องกังวลว่าดีของตนจะดีกว่าใครหรือจะด้อยกว่าใคร ไม่มีน้อยใจในความดี เพราะความดีอยู่ที่จิตใจ ความดีอยู่ที่จิตใจ ความดีอยู่ที่จิตใจ เมื่อรู้จักมองเห็น เมื่อรู้แจ่มชัดในคุณค่าของความดีของตนเองแล้ว ก็จะรู้จักคุณค่าอย่างชัดแจ้งในความดีของผู้อื่น ก็จะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขด้วยความดีที่มีต่อกัน ความดีนี้แหละที่จะนำพาแต่ละคน แต่ละจิตให้ไปสู่สุคติภูมิ แม้ในโลกนี้ก็มีความสุขสงบเย็น แม้ในโลกหน้าก็ถึงซึ่งความสุขนั่นเอง

หากสม่ำเสมอในการพิจารณา การดำรงชีวิตของแต่ละคนนั้นก็ไม่ต้องสนใจใยดีกับคำครหานินทาทั้งหลาย และเช่นเดียวกันก็ไม่หลงระเริงกับคำเยินยอของคนทั้งหลายที่รายล้อมอยู่ ก็ไม่ต้องทุกข์หนักกับการมอง การส่งจิตออกนอก จิตก็จะอยู่ภายในพิจารณาแต่จิตของตนว่าดีพร้อมมากน้อยเพียงใด จะสามารถดำรงชีวิตได้ ด้วยความสงบเย็น จะไม่ทุกข์ร้อน จะไม่ร้อนรน และจะทนได้กับทุกสภาวการณ์ นี่เป็น "นิสัยของผู้รู้ผู้มีปัญญา"

ในการพิจารณานั้น จะต้องพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ให้ถ้วนถี่ว่า จิตของตนฝึกดีเพียงใด
- เอื้อเฟื้อต่อตนก็เพื่อให้ความเอื้อเฟื้อของตนเองนั้นเผื่อแผ่จากตนออกไปสู่ผู้อื่นด้วยความเยือกเย็น
- เมื่อรู้จักให้เกียรติตนก็รู้จักให้เกียรติผู้อื่น
- เมื่อรู้จักีสั่งสอนตักเตือนตน ก็รู้จักสั่งสอนตักเตือนผู้อื่นได้
- เมื่อให้ตนรู้จริงได้ก็ให้ผู้อื่นรู้จริงได้ เช่นเดียวกัน

การพิจารณาเพื่อเข้าถึง กระแสแห่งพระนิพพาน
กระแสแห่งพระนิพพานเริ่มต้นด้วย... การรู้จักคิดการรู้จักมองเข้าไปข้างในจิตของตนก็จะเห็นทั้งกุศลและอกุศลภายในจิตตน ก็จะเห็นทั้งกุศลและอกุศลของจิตผู้อื่น เมื่อรู้จักตนดีแล้วก็จะรู้จักตัวตนของผู้อื่นเช่นเดียวกัน เมื่อรู้จักทั้งตนและรู้จักทั่วถึงตนแล้วก็จะรู้จักปล่อยวางตนเอง เป็นผู้ไม่ยึดถือ เป็นผู้สงบเย็น ไม่ปล่อยให้ทนทุกข์อยู่อีกนาน จะเป็นผู้ก้าวข้ามพ้นจากบ่วงมารอันเป็นวัฏฏสงสารนี้ได้ พื้นฐานแห่งจิตนำมาซึ่งปัญญา ปัญญาที่มีค่ายิ่งเป็นปัญญาอันเกิดจากธรรม ธรรมนำสู่ปัญญา ปัญญาเข้าถึงธรรม ธรรมอันเป็นของพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมใดที่ผุดขึ้นจากภายในธรรมนั้นจะอยู่กับผู้นั้นตราบจนวันตาย และธรรมนั้นจะนำพาผุ้นั้นไปสู่จุดหมาย คือ "พระนิพพาน"



ที่มา ธรรมะจากสวนพุทธ 1

9  บอร์ดหลัก / สาระน่ารู้ / Re: น่ารักมาก เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2010, 09:08:01 pm
 ยิ้มกว้างๆ แสดงว่าต้องน่ารักมากๆ เลยน่ะค่ะ น่าภูมิใจที่สุดเลยค่ะ ที่มีลูกสาวน่ารักอย่างนี้น่ะค่ะ
10  บอร์ดหลัก / สาระน่ารู้ / น่ารักมาก เมื่อ: กุมภาพันธ์ 03, 2010, 09:42:08 pm
ลองฟังดูน่ะค่ะ น่ารักมากๆ เลย
http://www.youtube.com/watch?v=IOfKAPGfd6k&feature=related
หน้า: [1]


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.15 | SMF © 2006-2008, Simple Machines | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!