ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
พฤษภาคม 02, 2024, 11:29:43 pm
หน้าแรก ช่วยเหลือ ค้นหา เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก
ข่าว: งานเทศนาธรรม และการสอนปฏิบัติกัมมัฏฐาน
๏ ทุกวันอาทิตย์ท่ี ๑ ของเดือน เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๒.๐๐ น. ณ บ้านธรรมยอดไกรศรี ๑๒๘/๖๘ หมู่บ้านคาซ่าวิลล์ พระราม ๒-๒ ถนนพระรามท่ี ๒ ซอย ๕๐ (ซอยวัดกําแพง) เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ
๏ ทุกวันอาทิตย์ท่ี ๒ ของเดือน เวลา ๑๓.๐๐ - ๑๕.๓๐ น. ณ บ้านคุณหมอศรุตา ฟักนวม จังหวัดนครปฐม
๏ทุกวันศุกร์ถึงอาทิตย์ที่ ๓ ของเดือนมีการเก็บกัมมัฏฐาน ภาคปฏิบัติ ณ สํานักปฏิบัติ อัญญาวิโมกข์โ์พธิรังษี (วัดป่ากล้วยไม้ดิน) บ้านหนองฟักทอง ตําบลปากช่อง อําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
๏ แสดงธรรมงานบวชเนกขัมมะประจําปี ณ ศูนย์พุทธศรัทธา บ้านหมอ จ.สระบุรี ในวันมาฆบูชา, วันวิสาขบชูา และวันพ่อ-วันแม่แห่งชาติ (ถ้าธาตุขันธ์องค์หลวงพ่อไม่อาพาธ ก็จะไปมิได้ขาด)
สอบถามรายละเอียดเพ่ิมเติมได้ท่ี คุณสายพิณ โทร. ๐๘-๙๙๐๐-๗๓๙๙ หรือ www.kubajaophet.com
หมายเหตุ : ตารางเวลาอาจมีการเปล่ียนแปลงได้ตามความเหมาะสม

  แสดงกระทู้
หน้า: [1]
1  บอร์ดหลัก / โครงการมหานสะ / ความเป็นมาของโครงการเป็นประโยชน์มาก 2 เชิญเข้ามาอ่านได้ครับ .. เมื่อ: กุมภาพันธ์ 24, 2010, 08:24:28 pm
ความเป็น มาของโครงการมหานสะเป็นประโยชน์มาก 2

สามารถติดตาม ข่าวสาร และรูปภาพ งานต่างๆ ได้ที่เวป http://kubajaophe.blogspot.com/

เวปนี้จัด ทำขึ้น เพื่อ เป็นการประชาสัมพันธ์ งานหลวงพ่อ และ โครงการ อีกรูป แบบหนึ่ง

เชิญสมาชิก ทุกท่าน เข้ามา อ่าน และดูรายละเอียด ได้เลย ครับ ขอบคุณมากครับ
2  บอร์ดหลัก / สาระน่ารู้ / ธรรมะยุคใหม่ ทำไมต้องอยู่ในวัด? เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2010, 07:19:13 pm
สมัยนี้อะไรๆ ก็ดูรวดเร็วไปหมด เเม้กระทั่งการเข้าวัดเข้าวาที่ตอนนี้ไม่ต้องเดินทางให้เสียเวลาอีกเเล้ว เพราะเขตอุตสาหกรรมซอฟต์เเวร์ประเทศไทย และกับบริษัทไอทีชั้นนำ ร่วมกันเปิดตัวเว็บไซต์ ธรรมะทูเดย์ ดอท คอม (www.Dhammatoday.com) ซึ่งเป็นการรวบรวมธรรมะของ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว. วชิรเมธี) ขึ้นเพื่อเป็นการเเก้ไขปัญหาคนไม่เข้าหาธรรมะ โดยให้ธรรมะเดินเข้ามาหาคนเเทน งานนี้มีการเสวนาในหัวข้อ "ธรรมะ ธุรกิจ ไอที : ไตรภาคีเพื่อโลกยุคใหม่" โดยท่าน ว. วชิรเมธี เเละผู้บริหารระดับสูงจากเเวดวงต่างๆ มากมาย ซึ่งเเต่ละคนก็มีมุมมองของธรรมะในสมัยใหม่ที่เเตกต่างกันออกไป

โดย ท่าน ว. วชิรเมธี ได้บอกถึงวัตถุประสงค์ในการทำเว็บไซต์ เเละความสำคัญของวัดในสมัยใหม่ว่า เเท้จริงเเล้ว วัตถุประสงค์ของการเข้าวัดไม่ใช่ให้คนมาเข้าวัดเยอะๆ เเต่เพื่อให้คนเข้าถึงธรรมะมากกว่า ดังนั้น หากนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เเล้วสามารถเข้าถึงธรรมะได้ คอมพิวเตอร์เครื่องนั้นก็คือวัดนั่นเอง

"ธรรมะเปรียบเสมือนศิลปะในการดำรงชีวิต ใครไม่มีธรรมะคนคนนั้นก็ใช้ชีวิตอย่างสะเปะสะปะ อย่างที่พระพุทธองค์เคยตรัสว่า หากไม่มีโพธิปัญญาเเละมีระเบียบวินัย คนทั้งหลายจะดำรงชีวิตเหมือนกระบือบอดกลางป่า เเต่เพราะมีโพธิปัญญาเเละมีระเบียบวินัยคนทั้งหลายจะดำรงชีวิตอย่างประสบความสำเร็จ คนรุ่นใหม่ที่อยากประสบความสำเร็จในชีวิตจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีธรรมะเป็นประทีปธรรมนำใจ" พระมหาวุฒิชัยกล่าว

ด้าน บุญเกียรติ โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์ เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ในฐานะนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ กล่าวถึงว่า "ธรรมะ" สามารถนำไปใช้กับธุรกิจได้โดยถือคติง่ายๆ ว่าต้องนึกถึงผู้อื่นเสมอ ได้อะไรมาก็ต้องมีโอกาสให้กลับแก่ผู้อื่นด้วย เเละอีกสิ่งหนึ่งที่บอกกับทุกๆ คนเสมอ คือ การทำดีก็ต้องได้ดี การคิดบวก พูดดี ทำดี ก็จะมีสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นกับเราเอง

ขณะที่ วิกรม กรมดิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) พูดถึงรูปแบบการนำเอาธรรมะมาใช้ ในเเบบฉบับของตัวเองว่า ที่จริงเเล้วตัวเองไม่ใช่คนที่เข้าใจธรรมะอย่างเเก่นเเท้ รู้เพียงเเค่เปลือกผิวเท่านั้น เเต่จะปฏิบัติตนให้อยู่ในความเป็นจริง อยู่ในเหตุผล เห็นสีดำก็คือสีดำ อยู่กับความจริงที่เป็นสิ่งประเสริฐที่สุดในชีวิตมนุษย์ สิ่งนี้คือแกนในการใช้ชีวิตอย่างมีธรรมะประกอบโดยไม่รู้ตัว

ในฐานะผู้ที่คลุกคลีอยู่กับสื่อในรูปแบบต่างๆ สุทธิชัย หยุ่น ให้ความเห็นด้วยต่อเเนวคิดที่ธรรมะจะไม่ได้อยู่ในวัดอีกต่อไปว่า ถ้าไม่ใช้สื่อที่หลากหลายในการเผยเเผ่ธรรมะจะถือว่าเป็นสิ่งที่ผิด จะกลายเป็นว่าพระพุทธศาสนาจะใช้ได้เพียงคนที่บวชอยู่เท่านั้น จะทำให้เกิดการปิดกั้นเส้นทางธรรมะไปสู่คนต่างๆ ที่ยังเข้าไม่ถึง โดยปัจจุบันธรรมะต้องเเทรกเข้าไปในทุกจุด ธรรมะเลือกไม่ได้ว่าจะอยู่กับที่ให้คนมาหาเท่านั้น ถ้าไม่เข้าไปสู่โลกใหม่ธรรมะก็ไม่สามารถส่งไปถึงผู้อื่นได้เช่นกัน

สำหรับเนื้อหาภายในเว็บไซต์เเห่งนี้มีรูปเเบบของ "วัดเสมือนจริง" ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในสถานที่จริงๆ โดยมีห้องต่างๆ ให้ท่องหาความรู้ อาทิ ห้องไตร่ตรองมองตน ที่รวบรวบคำคมจากท่าน ว. วชิรเมธี ห้องตื่นรู้อยู่กับปัจจุบัน เเละห้องเเรงบันดาลใจ ที่นำเสนอภาพเเละผลงานของบุคลสำคัญระดับโลก ในเเง่ธรรมะให้ได้เรียนรู้ชีวิตของบุคคลเหล่านั้นเเละนำมาปฏิบัติให้เป็นประโยชน์ได้

แล้วในวันนี้ "ธรรมะ" จากทุกๆ ที่สามารถมาอยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิดไว้จริงๆ

เรื่อง... "ณุวภา ฉัตรวรฤทธิ์"

เร
 
3  บอร์ดหลัก / สาระน่ารู้ / อาหารล้างพิษ 20 ชนิด เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2010, 07:11:10 pm




อาหารล้างพิษ 20 ชนิด

 1. กล้วย
มีคุณสมบัติในการบำรุงและสร้างความแข็งแรงแก่กระเพาะอาหารในขณะเดียวกันก็ให้เกลือแร่ทีจำเป็นแก่ร่างกายเช่น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียมช่วยควบคุมระดับของเหลวในร่างกายโดยช่วยขับของเหลวหรือสารพิษส่วนเกิน ออกจากร่างกายโดยช่วยขับของเปลวหรือสารพิษส่วนเกินออกจากร่างกายได้ดีขึ้น การกินกล้วยเป็นประจำยังช่วยป้องกันท้องผูกทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติอีกด้วย




 2. อัลมอนด์
เป็น ถั่วที่มีใยอาหารสูงมีแคลเซียมและโปรตีนที่ดีต่อร่างกายแม้จะมีไขมันแต่ก็เป็นไขมันที่ดีและจำเป็นต่อร่างกายในระหว่างที่เราทำการล้างพิษจึงควรกินอัลมอนด์นอกจากนี้อัลมอนด์ยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งถ้าระดับน้ำตาลในเลือดสูงก็จะเกิดอาการไฮเปอร์ไกลซีเมีย ( Hyperglycemia ) ทำให้รู้สึกหิวน้ำมากกว่าปกติ หายใจไม่ออกไม่สามารถควบคุมตัวเองได้และหากน้ำตาลในเลือดต่ำที่เรียกว่าไฮโปไกลซีเมีย ( Hypoglycemia ) จะทำให้เกิดอาการหน้ามืดเป็นลม ใจสั่น ไม่มีแรงคิดอะไรไม่ออก




 3. แอปเปิ้ล
ประกอบไปด้วยเพกตินสูงเพกตินเป็นไฟเบอร์ชนิดหนึ่งที่ช่วยจับคอเลสเตอรอลและโลหะหนักในร่างกายที่ปะปนมากับอาหารเช่น ปรอท ตะกั่ว ซึ่งทำลายเซลล์สมองนี่คือเหตุผลที่เราควรจะกินแอปเปิ้ลเพื่อล้างสารพิษออกจากร่างกายนอกจากนี้ยังมีคุณประโยชน์ช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็งฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสจากการศึกษาทดลองยังพบว่าแอปเปิ้ลช่วยขับสารเคมีที่ปนเปื้อนในอาหารซึ่งก่อให้เกิดอาการแพ้ในเด็กและทำให้เกิดไมเกรนในผู้ใหญ่ได้




 4. ตำลึง
ผักใบเขียวที่ขึ้นข้างรั้วหาง่าย และราคาไม่แพงนี้ในสมัยก่อนเรามักนำมาทำแกงจืดตำลึงโดยใสเนื้อสัตว์น้อย ๆ แต่ปัจจุบันดูเหมือนว่า แกงจืดตำลึงจะมีตำลึงอยู่ไม่กี่ใบและมีหมูสับเต็มไปหมดซึ่งตำลึงมีคุณสมบัติช่วยผลิตน้ำดีที่จะทำให้ลำไส้ขับสารพิษออกจากร่างกายได้ดีขึ้นนอกจากนี้สารที่มีอยู่ในตำลึงยังช่วยให้ตับสลายไขมันในร่างกายด้วย




 5. อะโวคาโด
อาจยังไม่เป็นที่รู้จักมากนักแต่ปัจจุบันเราก็สามารถหาซื้ออะโวคาโดได้จากตลาดทั่วไป ในอะโวคาโดมีสารกลูตาไทโอน ( Glutathione ) ที่สามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลและป้องกันหลอดเลือดอุดตันทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่นทั้งช่วยจับสารพิษที่เป็นตัวก่อให้เกิดมะเร็งกว่า 30 ชนิดและขณะเดียวกันก็ช่วยให้ตับกำจัดของเสียจำพวกสารเคมี และโลหะหนักซึ่งนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ( University of Michigan ) พบว่าผู้สูงอายุซึ่งกินอาหารที่มีสารกลูตาไทโอนสูงจะมีสุขภาพดีกว่าคนที่ไม่ได้กินและมีอัตราการเกิดโรคหัวใจน้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์




 6. บีตรูต
ผักสีแดงที่นิยมใส่ในสลัดนี้นับเป็นผักมหัศจรรย์ซึ่งประกอบไปด้วยไพโรเคมีคอล ( Phytochemical ) วิตามินและเกลือแร่หลายชนิดซึ่งทำให้บีตรูตมีคุณสมบัติต่อต้านชื้อโรคทำความสะอาดเลือดทำความสะอาดตับและระบบน้ำเหลืองอีกทั้งมีคุณสมบัติพิเศษที่ส่งเสริมให้ร่างกายรับออกซิเจนได้มากขึ้นจึงช่วยกำจัดของเสียได้ง่ายและเร็วขึ้นซึ่งจากกการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้พบว่าบีตรูตช่วยปรับระดับกรดและด่างในเลือดให้สมดุลด้วย้




 7. กะหล่ำ
เต็มไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งและอนุมูลอิสระ (Antioxidant) และช่วยตับขับฮอร์โมนที่มากเกินไป ซึ่งอาจเป็นฮอร์โมนความเครียดที่มีผลเสียต่อร่างกายทั้งยังช่วยทำความสะอาดระบบย่อยอาหารรักษาและปกป้องกระเพราะอาหารจากแบคทีเรียและไวรัสต่างๆพืชตระกูลกะหล่ำ ได้แก่กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลีและกะหล่ำปมผักเหล่านี้ช่วยทำความสะอาดร่างกายและช่วยกำจัดของเสียจากสิ่งแวดล้อมเช่น ของเสียจากควันบุหรี่ควันจากท่อไอเสียและช่วยให้ตับผลิตเอนไซม์ออกมาให้เพียงพอในการกำจัดของเสีย




 8. บลูเบอร์รี่
เป็นผลไม้ที่มีค่าแอนติออกซิแดนต์สูงมากชนิดหนึ่ง และถือเป็นหนึ่งในสุดยอดอาหารรักษาโรคเนื่องจากในบลูเบอร์รี่มีสารแอสไพรินตามธรรมชาติซึ่งช่วยลดการระคายเคืองสารที่มีในบลูเบอร์รี่สามารถเข้าไปขัดขวางแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะส่งผลให้ลดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ






 9. กระเทียม
จากหลายการศึกษาให้ผลตรงกันถึงคุณสมบัติของกระเทียมในการทำความสะอาดร่างกายนั่นคือการกินกระเทียมเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียขับและฆ่าพยาธิในทางเดินอาหารและฆ่าเชื้อไวรัสโดยเฉพาะทำความสะอาดเลือด และทำให้เส้นเลือดมีความยืดหยุ่นและลดแรงดันโลหิตนอกจากนี้ยังต่อต้านการเกิดมะเร็งและทำให้ระบบทางเดินหายใจดีขึ้น แต่ก็ควรระวังเรื่องการกินกระเทียมมากเกินไปซึ่งก่อให้เกิดลมหายใจที่มีกลิ่นกระเทียมไปด้วย




 10. ส้มโอ หรือเกรปฟรุต
เป็นผลไม้รสชาติดีที่ได้รับความนิยมในอาหารมื้อเช้าของชาวตะวันตก สารเพกตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ประเภทหนึ่งในเกรปฟรุตสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดก่อนที่จะจับตัวเป็นก้อนและขวางทางเดินในหลอดเลือดนอกจากนี้เพกตินยังสามารถช่วยป้องกันไม่ให้โลหะหนักเหล่านี้ทำอันตรายต่อร่างกาย ส่วนเกรปฟรุตช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็งโดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งกระเพราะอาหารและมะเร็งตับอ่อนสารต้านอนุมูลอิสระในเกรปฟรุตช่วยปกป้องสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย




 11. มะเขือพวง
คนไทยนิยมใส่มะเขือพวงในอาหารประเภทผัดเผ็ด แกงป่า แกงกะทิและน้ำพริกสมัยก่อนแกงกะทิเช่นแกงไก่ใส่มะเขือพวงเต็มไปด้วยใส่ไก่น้อยเน้นการกินมะเขือเป็นหลัก แต่ปัจจุบันกลับตรงกันข้างแกงไก่มักใส่ไก่มากกว่ามะเขือและคนก็เลือกกินแต่ไก่ จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้คนในปัจจุบันมีรูปร่างอ้วนกว่าคนสมัยก่อนมะเขือพวงเป็นผักที่เต็มไปด้วยไฟเบอร์ซึ่งสามารถช่วยดูดซึมไขมันในอาหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยจับไขมันอิ่มตัว (ไขมันอันตราย) และขับออกจากร่างกายโดยระบบขับถ่าย ทั้งยังมีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระสูง จึงช่วยกำจัดของเสียออกจากระบบทางเดินอาหารได้เร็วขึ้นและลดการสะสมของเสีย




 12. แครอท
เต็มไปด้วยสารอัลฟาและเบตาแคโรทีน (Alpha and Beta-carotene) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิตามินเอ และถือว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีเยี่ยมช่วยปกป้องร่างกายจากสารพิษในสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะช่วยระบบทางเดินประสาทสายตา ผิวหนังที่ต้องสัมผัสแสงแดเป็นประจำและจากการวิจัยพบว่าสารในแครอทช่วยลดการเกิดมะเร็งและช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจและหัวใจแข็งแรงขึ้น




 13. ขึ้นฉ่าย
ถือได้ว่าเป็นสุดยอดอาหารในการทำความสะอาดเลือดและช่วยลดความดันโลหิตสำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงควรกินขึ้นฉ่ายเป็นประจำหรือถ้าจะให้ดีควรดื่มน้ำคั้นจากขึ้นฉ่ายสดในตอนเช้าเพื่อช่วยควบคุมระดับแรงดันเลือดให้คงที่ในขึ้นฉ่ายยังประกอบไปด้วยสารต้านการเกิดมะเร็งและสารที่ช่วยขับของเสียจากบุหรี่ในคนที่สูบบุหรี่หรือผู้ที่ได้รับควันบุหรี่ด้วย




 14. พืชตระกูลถั่ว
เช่นถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง และถั่วขาว จากการศึกษาพบว่าผู้ที่กินถั่วเป็นประจำมีระดับคอเลสเตอรอลน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้กิน และลดอัตราความเสียงต่อการเกิดโรคหัวใจด้วยพืชตระกูลถั่วนี้ประกอบด้วยไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลทำความสะอาดลำไส้ ลดการสะสมของสารพิษในลำไส้ และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่อีกทั้งช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้และมะเร็งต่อมลูกหมากด้วย




 15. ทับทิม
ตำราแพทย์แผนโบราณของชาวเอเชียกล่าวไว้ว่า การดื่มน้ำทับทิมสามารถรักษาอาการอักเสบและลดความปวดได้เนื่องจากในทับทิมมีสารแอสไพรินซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกันกับแอสไพรินในยาแก้ปวด ช่วยล้าง พิษลดการติดเชื้อของเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายและลดอาการอักเสบสำหรับผู้ที่มีอาการไขข้ออักเสบปวดบวม ช้ำ แนะนำให้กินทับทิมเพราะช่วยลดอาการปวดลงได้ขณะเดียวกันยังมีไฟเบอร์สูงซึ่งช่วยให้ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกายได้ดีขึ้น




 16. กระเจี๊ยบ
น้ำกระเจี๊ยบมีคุณสมบัติช่วยทำความสะอาดแบคทีเรียและไวรัสออกจากระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งมักก่อให้เกิดการติดเชื้อทำให้มีอาการปัสสาวะไม่ออกหรือมีเลือดปนหรือมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ซึ่งสารในกระเจี๊ยบสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไวรัสเหล่านั้นได้





 17. เมล็ดแฟลกซ์่
ประกอบไปด้วยกรดไขมันที่จำเป็นอย่างโอเมกา 3 ซึ่งมีประโยชน์ต่อสมองช่วยบำรุงความจำและมีผลดีต่อหัวใจเพราะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลนอกจากนี้ยังมีสารอื่นที่ช่วยทำให้ภูมิคุ้มกันร่างการแข็งแรงขึ้น






 18. มะนาว
เป็นสุดยอดอาหารที่ช่วยทำความสะอาดตับ มีวิตามินซีสูงน้ำมะนาวสดเมื่อนำมาผสมกับน้ำอุ่นแล้วดื่มตอนเช้าหลังตื่นนอนจะช่วยล้างพิษและทำให้เลือดสะอาดขึ้น แต่ถ้านำน้ำมะนาวสดผสมกับโยเกิร์ตและน้ำผึ้งก็จะเป็นอาหารที่ช่วยล้างพิษในลำไส้และป้องกันอาการท้องผูกได้อีกด้วย





 19. หัวหอม
ประกอบไปด้วยสารต่อต้านมะเร็งหลายชนิด และมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงช่วยทำความสะอาดเลือดช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล LD ซึ่งไม่ดีเพราะเป็นตัวการก่อให้เกิดโรคหัวใจนอกจากนี้ยังช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานดีขึ้น ช่วยรักษาโรคหอบโรคทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ และที่สำคัญคือช่วยรักษาโรคเบาหวานโดยช่วยให้ระดับน้ำตาลคงที่




 20. สาหร่าย
เป็นพืชสีเขียวในทะเลที่หลายคนมองข้ามคุณประโยชน์ แต่จากการศึกษาของ Mcgill University ที่ Montreal แสดงผลว่าสาหร่ายสามารถจับของเสียจากรังสีที่สะสมในร่างกายในปัจจุบันเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงรังสีต่างๆจากคลื่นวิทยุ คลื่นโทรศัพท์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและคลื่นไมโครเวฟทั้งหลายได้ซึ่งพลังงานความร้อนเหล่านี้เป็นอันตรายต่อร่างกายก่อให้เกิดมะเร็งได้ซึ่งสาหร่ายจะช่วยดูดซึมคลื่นรังสีเหล่านั้นและสามารถจับกับพวกโลหะหนักได้ด้วยนอกจากนี้ยังเต็มไปด้วยโปรตีนและเกลือแร่ในปริมาณมาก




โดย: พี่ทิพ
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก: http://www.teenpath.net/
4  บอร์ดหลัก / สาระน่ารู้ / นักวิชาการโลกฟันธงแล้วชนิดอาหารก่อมะเร็ง เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2010, 07:01:57 pm
ชนิพรรณ บุตรยี่ นักวิชาการจากสถาบัน โภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้นำงานวิจัยนี้มาบรรยายในงานประชุมเรื่อง “ความท้าทายทางพิษวิทยาในศตวรรษที่ 21” ว่า งานวิจัยใช้ระยะเวลาสรุปผล 5 ปี โดยนำงานวิจัยขนาดใหญ่ที่ใช้กลุ่มตัวอย่างมากสุด ถึง 100,000 คน และบางชิ้นมีการเก็บข้อมูลนานนับ 10 ปี ใช้เงินทำวิจัยมหาศาล จึงจัดเป็นงานวิจัยที่น่าเชื่อถือและยึดเป็นข้อมูลทางวิชาการได้ ถือเป็นข้อบ่งชี้ที่แน่ชัดแล้ว โดยเน้นเรื่องการกินและการออกกำลังกายเป็นหลัก แบ่งเป็น 3 ระดับ ระดับแรกเป็นข้อบ่งชี้ที่แน่นอน เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับอาหาร วิถีชีวิต การออกกำลังกาย สิ่งแวดล้อม โดยพบว่าการดื่มแอลกอฮอล์จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้า นม ทั้งวัยหมดประจำเดือนและก่อน มีประจำเดือน มะเร็งช่องปาก คอหอย กล่องเสียง หลอดอาหาร ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก (เฉพาะผู้ชาย) มีไขมันในร่างกายเกินจากค่าดัชนีมวลกายหลังจากอายุ 21 ปีไปแล้ว เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมหลังหมดประจำเดือน มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับอ่อน มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งไต และเนื้อเยื่อบุมดลูก นอกจากระดับไขมันที่เป็นส่วนเกินแล้วยังแยกย่อยออกมาอีกว่า คนที่อ้วนลงพุง มีความเสี่ยงสูงต่อมะเร็งลำไส้และทวารหนัก

สำหรับอาหารที่คลางแคลงใจกันมานานพวกเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ในงานวิจัยนี้ฟันธงออกมาอย่างแน่ชัดแล้วว่าการ บริโภคเนื้อแดง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อวัว แกะ แพะ ในปริมาณที่สูงเกินจะก่อมะเร็งลำไส้ มีคำแนะนำให้บริโภคเพียงสัปดาห์ละครึ่งกิโลกรัม ควรหันมาบริโภคเนื้อสีขาว อย่างเนื้อไก่ หมู หรือปลา รวมทั้งเนื้อสัตว์ที่ผ่าน กระบวนการปรุงแต่ง ไม่ว่าจะเป็นไส้กรอก แฮม เบคอน อาหารเหล่านี้ต้อง รมควัน บางครั้งต้อง ปรุงรส ใช้เคมีเพื่อให้สี รสชาติและมวลของอาหารอยู่ครบ เป็นอาหาร ที่กินแล้วก่อมะเร็งเช่นกัน ที่น่าตกใจพบว่าการ บริโภคเบต้าแคโรทีน ในรูปแบบอาหารเสริม จะเร่งให้เกิดมะเร็ง แต่ เบต้าแคโรทีนจะให้ผล ต่อร่างกายสูงสุดเมื่อ บริโภคผักผลไม้สด ๆ ที่มีสารเหล่านี้ ประเภทผลไม้สีเหลือง เช่น มะละกอ มะม่วง แครอท

ขณะเดียวกันเมื่อมนุษย์ขึ้นสู่วัยหนุ่มสาวออกกำลังกายแบบแอโรบิก ที่ทำให้หัวใจสูบฉีดเลือดอย่างสม่ำเสมอวันละ 30 นาทีจนเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ จะช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก มะเร็งเต้านม (โดยเฉพาะหญิงวัยหมดประจำเดือน) และมะเร็งเนื้อเยื่อบุมดลูก นอกจากนี้ผลวิจัยเป็นที่แน่นอนแล้วว่าแม่ควรให้นมลูกและเด็กทารกควรที่จะได้รับน้ำนมแม่ สามารถ ลดความเสี่ยงของมะเร็งเต้านมทั้งก่อนและหลังหมดประจำเดือน ทั้งนี้ควรให้นมแม่อย่างเดียวตั้งแต่แรกคลอดจนถึง 6 เดือนโดยไม่มีการให้อาหาร หรือเครื่องดื่มใด ๆ เลย รวมทั้งน้ำด้วย




ต่อมาข้อสรุปลำดับที่ 2 เรียกว่าเป็นที่แน่นอนบ่งชัดเจนหากเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์ในข้อนี้ 80 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ในข้อแรกเชื่อได้ 90 เปอร์ เซ็นต์ ในข้อนี้เน้นหนักด้านอาหารพบว่าการบริโภคผักใบ ลดความเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งช่องปากคอหอย กล่องเสียง หลอดอาหาร ผักกลุ่มหอมป้องกันมะเร็งกระเพาะอาหาร การบริโภคผลไม้ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งปอด ช่องปาก คอหอย กล่องเสียง มะเร็งหลอดอาหาร

ลำดับที่ 3 ลดหลั่นเป็นเปอร์เซ็นต์ลงมาภายใต้เงื่อนไขเดียวกันคือความสัมพันธ์ของอาหาร วิถีชีวิต ในข้อนี้เรียกว่ามีความเป็นไปได้พบว่าการบริโภคอาหารที่มีไลโคปีน ซึ่งมีมากในมะเขือเทศลดความเสี่ยงต่อมะเร็งต่อมลูกหมาก

นักวิชาการคนเดิมจากสถาบันโภชนาการ ม.มหดิล บอกอีกว่า แม้สารไลโคปีนจะมีมากในมะเขือเทศแต่ถ้าไม่ทำให้มะเขือป่นละเอียดบริโภคไปร่างกายก็ไม่ได้ รับสารไลโคปีนอยู่ดี ดังนั้นการบริโภคมะเขือเทศสด แบบชิ้น ๆ กับการบริโภคซอสมะเขือเทศอย่างหลังได้รับ ไลโคปีนมากกว่า นอกจากในงานวิจัยเรื่องการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อป้องกันมะเร็ง นักวิชาการทั่วโลกแนะนำว่าไม่ควรบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อป้องกันมะเร็ง เว้นแต่เจ็บป่วยหรือมีภาวะขาดสารอาหารบางอย่าง

ปัจจุบันพฤติกรรมการกินอาหารของคนไทยเปลี่ยนไปโดยเฉพาะกลุ่มเด็กและคนวัยหนุ่มสาวบริโภคเนื้อสัตว์มากขึ้น ที่เห็นได้ชัดจากวัฒน ธรรมการกินอาหารบุฟเฟ่ต์ ร้านเนื้อย่างหมูกระทะต่าง ๆ สอดคล้องกับงานวิจัยนี้ ข้อแนะนำของการกินเพื่อต้านมะเร็งในแบบไทยซึ่งแม้งานวิจัยยังไม่ได้ถูกเลือกจากนักวิชาการ เพราะเป็นงานวิจัยขนาดเล็ก ตามอัตภาพของทุนที่มี แต่น่าชื่อถือและนำไปใช้ได้

ในงานประชุมดังกล่าวข้างต้น ดร.สมศรี เจริญเกียรติกุล นักวิชาการจากสถาบันเดียวกัน ได้เผยแพร่ผลการศึกษาเรื่อง “ศักยภาพต้านมะเร็งของตำรับอาหารไทย”

ดร.สมศรี กล่าวว่า ได้ศึกษาเรื่องนำสมุนไพรต่างชนิดมาทำเป็นน้ำพริกแกงต่าง ๆ ได้ทดลองสารสกัดของน้ำพริกแกง 4 ชนิด ได้แก่ น้ำพริกแกงป่า แกงเลียง แกงส้ม แกงเหลือง และน้ำต้มยำนำมาเลี้ยงเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว พบว่าน้ำแกงป่า น้ำแกงเลียง และน้ำแกงส้มมีศักยภาพให้เซลล์มะเร็งตายแบบธรรมชาติที่ไม่ส่งผลกระทบต่อเซลล์อื่นในร่างกาย ได้มากถึง 45 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่แกงเหลืองทำให้เซลล์มะเร็งตายแบบธรรมชาติเพิ่มขึ้นอีก 15 เท่าเมื่อเทียบกัน ดีกว่าการใช้ยาถึง 2 เท่า สมุนไพรสำคัญในเครื่องแกงน่าจะมาจากกระเทียมและพริกรวมทั้งสมุนไพรอื่น ๆ

จากงานวิจัยนี้สรุปได้ว่าการบริโภคอาหารที่เป็นสำรับแบบไทย อาทิ แกงเลียงกุ้งสด ห่อหมกใบยอ ไก่ผัดเม็ดมะม่วง ข้าวสวย หรือ สำรับ ข้าวเหนียว ส้มตำใส่ แครอท ไก่ทอดสมุนไพร ต้มยำ จะมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงต่อมะเร็ง

สอดรับกับงานวิจัยระดับโลกที่ว่าอาหารการกินเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนห่างไกลมะเร็งได้อยู่.
5  บอร์ดหลัก / สาระน่ารู้ / Re: อย่าดูแค่หน้าตานะ อย่าดูถูกคน เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2010, 06:56:47 pm
ฟัง ที่ไรก็เพราะ ทุกที ครับ
6  บอร์ดหลัก / สาระน่ารู้ / การดื่มน้ำบำบัด โรค.. เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2010, 06:51:02 pm
การดื่มน้ำบำบัดโรค

น้ำถือว่าเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักของชีวิตเรา เฉกเช่นเดียวกับอาหารที่ต้องรับประทานเพื่อการดำรงอยู่ แต่จะดื่มอย่างไรถึงจะทำให้มีสุขภาพดีด้วย มาลองอ่านกันนะคะ

การดื่มน้ำมากๆ จะทำให้อายุยืน ยิ่งถ้าพบว่าผิวหนังแห้ง ไม่ชุ่มชื้น ตาแห้ง มีกลิ่นปาก ท้องผูก เป็นริดสีดวงทวาร นั่นแสดงว่า ร่างกายของคุณกำลังขาดน้ำอย่างยิ่งเชียว

วิธีแก้แบบง่าย ปลอดภัย และประหยัดที่สุดก็คือ การดื่มน้ำ นั่นเอง แต่...จะดื่มยังไงดีนั่นล่ะ

การดื่มให้ถูกวิธี คือ ดื่มวันละ ๑๔ แก้ว ได้แก่
๑. เวลาตื่นนอนให้ดื่มน้ำอุ่น ๔ แก้ว
๒. ก่อนอาหารทุกมื้อ มื้อละ ๑ แก้ว
๓. หลังอาหารทุกมื้อ มื้อละ ๑ แก้ว
๔. ในเวลา ๑๐.๐๐, ๑๔.๐๐, ๑๖.๐๐ เวลาละ ๑ แก้ว
๕. ก่อนนอนดื่มน้ำอุ่น ๑ แก้ว

เทคนิคในการดื่มน้ำเพื่อสุขภาพ

ถ้าดื่มในช่วงพระอาทิตย์ยังไม่พ้นขอบฟ้า ต้องดื่มน้ำอุ่น.... แต่ถ้าพระอาทิตย์พ้นขอบฟ้าแล้ว ให้ดื่มน้ำเย็นค่ะ

เป็นการกลับคืนสู่ธรรมชาติที่มนุษย์ทุกคนหลงลืมอิทธิพล ของพระอาทิตย์-พระจันทร์มานาน ถ้าทำได้ดังที่ว่านั้น เค้าบอกว่าประโยชน์จะเกิดขึ้นกับร่างกายของคุณอย่างเห็นได้ชัด เพราะการดื่มน้ำ สามารถทำลาย เชื้อแบคทีเรียได้ ทำให้โอกาสในการเป็นโรคภูมิแพ้ต่ำ สามารถล้างคราบไขมันตามลำคอ และล้างลำไส้ที่มีความยาว ๑๒ เมตรของมนุษย์ได้

โดย: พี่ทิพ
ข้อมูลจาก: http://www.teenpath.net





7  บอร์ดหลัก / สาระน่ารู้ / เคล็ดลับการนอนหลับอย่างเต็มที่ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2010, 06:46:09 pm


๑. อย่าเข้านอนเพราะว่า “ถึงเวลานอนแล้ว”: แต่จงเชื่อนาฬิกาในตัวคุณเอง โดยสังเกตจากร่างกายจะสื่อให้ทราบเมื่อถึงเวลา อย่างเช่น การหาวนอน อาการแสบตา ความรู้สึกประเภท "ลานหมด" หัวจะทิ่มลงท่าเดียว หนังตาเริ่มหย่อน ความรู้สึกว่าจะหลับแล้ว แต่ถ้าคุณพลาดสัญญาณต่างๆ เหล่านี้ไปแล้ว คุณจะต้องรอไปอีกอย่างน้อย ๒-๓ ชั่วโมง กว่าที่จะให้ร่างกายง่วงขึ้นอีกครั้ง เพราะคนเราต่างมีความรู้สึกง่วงนอนต่างกัน เพราะฉะนั้นถ้าง่วงนอนแล้วก็ควรนอนเลย... เพื่อจะได้ไม่เกิดอาการนอนไม่หลับ

๒. อย่านอนผิดเวลาทุกวัน: อย่างถ้าคุณรับประทานอาหารเวลาเดิม ก็แนะนำว่าควรเข้านอนเวลาเดิมเป็นประจำ อย่างเช่น ปกตินอน ๔ ทุ่ม ก็ขอให้นอน ๔ ทุ่มทุกวัน มิฉะนั้นจะเกิดความเสี่ยงที่จะง่วงนอนผิดเวลา

๓. ทดลองหลับแวบเดียว: อย่างเช่น คุณนั่งบนเก้าอี้โซฟา มือหนึ่งถือช้อนกาแฟ ตรงปลายเท้าของคุณวางจานโลหะไว้ ๑ ใบ เมื่อเผลอหลับ มือนั้นก็จะปล่อยช้อนหล่นลงมาบนจานโลหะ ส่งเสียงดัง มันเป็นการปลุกให้คุณตื่น คำอธิบายเมื่อหลับตา คุณจะสามารถตัดข้อมูล ไม่ให้เข้าสู่สมองได้ถึง ๙๐ เปอร์เซ็นต์ ซึ่งควรฝึกวันละหลายๆ ครั้ง

๔. พักกลางคัน: เป็นการพักเพื่อลดความเหนื่อยล้า ง่ายๆ ด้วยการ นั่งสบายๆ อยู่บนโต๊ะทำงานของคุณ หนุนศีรษะบนแขนที่ไขว้กัน หรือ นอนท่าเหยียดยาว หลับตาและปล่อยตัวตามสบาย สัก ๕ นาที

๕. สะสมการนอน "ช่วงสั้น" ในวันทำงาน: ถ้าจะให้นั่งหลับเวลาทำงานก็คงดูไม่เหมาะสม คุณก็เปลี่ยนเป็นเก็บสะสมความอยากนอนของคุณไว้ เพื่อวันหยุดสุดสัปดาห์ คุณจะได้นอนพักผ่อนได้อย่างเต็มอิ่ม ใช้หนี้ความเหนื่อยล้าตลอดทั้งสัปดาห์

๖. งดออกกำลังกายในตอนเย็นหลังเลิกงาน: ความเข้าใจผิดๆ จากการเล่นกีฬาหลังเลิกงาน จะทำให้เหนื่อยจนคุณอยากจะนอน คุณเข้าใจผิด เพราะการออกกำลังกายช่วงหัวค่ำจะทำให้ร่างกายสดชื่นตื่นตัวตากหาก

๗. ฝึกชี่กง (ลมปราณ): ชี่กงเหมาะมากสำหรับสงบความคิด จิตใจ และขจัดความอ่อนเพลีย ในไม่ช้าคุณจะเรียนรู้ที่จะทำท่าที่ชวนให้ง่วงนอนเป็น

๘. รับประทานอาหารค่ำแต่หัวค่ำ: แต่ควรหลีกเลี่ยงการเข้านอน "ขณะยังย่อยอาหารอยู่” ควรรอให้ผ่านไปสัก ๒-๓ ชั่วโมงหลังอาหารมื้อนี้ แล้วจึงค่อยนอน

๙. เดินย่อยอาหารมื้อค่ำ: เป็นการรอเวลาจากข้อ ๘ ในการรอเข้านอน...

๑๐. เครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ กาแฟ น้ำชา: เป็นตัวทำลายความง่วง... และบางครั้งระบบเผาผลาญบางคนต้องใช้เวลา ๑๒- ๒๔ ชั่วโมงเพื่อกำจัดกาแฟเพียงถ้วยเดียว

๑๑. การหาว: จะช่วยผ่อนคลายได้ และทำให้อยากนอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้า ได้ยืดแขนยืดขาด้วย

๑๒. ดื่มเครื่องดื่มชาสมุนไพร: ที่มีคุณสมบัติในการกล่อมประสาทอย่าง ชาคาโมมายล์ ลาเวนเดอร์….จะช่วยให้นอนหลับได้

๑๓. ลดปริมาณอาหาร และ กลูไซด์ (อินทรีย์สารในคาร์โบไฮเดรต) : มื้อค่ำ หลีกเลี่ยงน้ำตาล ของหวานที่หวานจัด น้ำผึ้ง น้ำอัดลม… เพราะเสี่ยงที่จะเสริมให้โลหิตมีปริมาณกลูโคสต่ำกว่าปกติในตอนกลางคืน

๑๔. รับประทานแอปเปิ้ล ผักกาดหอม และผลิตภัณฑ์จากนม: อาหารเหล่านี้เป็นเพื่อนกับความง่วง เพราะประกอบด้วยสารหลักใน ตัวยาที่ออกฤทธิ์ วิตามินและเอ็นไซม์ที่เป็นสื่อกลางช่วยให้ง่วงเหงาหาวนอน ควรเลือกผลิตภัณฑ์จากนมที่ย่อยได้ง่ายที่สุด อย่างโยเกิร์ต (นมเปรี้ยว) นมข้น และเนยแข็งสีขาว ดีกว่าพวกเนยแข็งที่ไขมันสูงและผ่านการหมักเชื้อ สำหรับอาหารค่ำ ควรเลือกอาหารจำพวกปลานึ่ง ผักนึ่ง และผลไม้ที่ย่อยง่าย หลีกเลี่ยงอาหาร ที่มีไขมัน ผลิตภัณฑ์จากหมู เนื้อ เครื่องเทศและเครื่องปรุงรส

๑๕. ก่อนนอนอย่าดื่มน้ำมากเกินไป: ตั้งแต่เวลา ๑๘ นาฬิกาเป็นต้นไปจงลดการบริโภคของเหลว แต่ระหว่างวันควรดื่มน้ำมากๆ ค่ะ

๑๖. เสียงรบกวน: เสียงรบกวนจากสภาพแวดล้อมต่างๆ ลดทอนการนอนหลับ ลองหาสำลีอุดหูหรือติดกระจกซ้อนสองชั้น ปูพรมตลอดห้อง ใช้เพดานเก็บเสียง...

๑๗. หัวเราะวันละหลาย ๆ ครั้ง: หัวเราะเป็นการรักษาสมดุลของระบบประสาท สำหรับบางคน "หัวเราะนาทีเดียวมีค่าเท่ากับการผ่อนคลายร่างกาย ๒๕ นาทีเต็ม"

๑๘. ที่นอนเป็นเรื่องสำคัญ : เลือกฟูก ขนาดที่นอน ขนาด ๑๖๐ คูณ ๒๐๐ ซ.ม. กว้างกว่าฟูกมาตรฐานขนาด ๑๔๐ คูณ ๑๙๐ ซ.ม. หรือไม่ก็ไปหาฟูกแบบอเมริกัน เลือกตามชอบใจว่าจะเป็น คิงไซส์ ขนาด ๑๙๐ คูณ ๒๐๐ ซ.ม. หรือแคลิฟอร์เนียนคิงไซส์ ขนาด ๑๘๐ คูณ ๒๑๐ ซ.ม.

๑๙. ตรวจสอบทิศทาง สำหรับการวางเตียงนอน: คือให้ศีรษะหันไปทางทิศเหนือ เท้าไปทางทิศใต้ตามทิศทาง ของคลื่นแม่เหล็กโลก และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อย่าให้ศีรษะหันไปทางทิศตะวันออก

๒๐. สีผนังห้องนอน: การใช้สีฟ้ากลางๆ เป็นสีสำหรับ การนอนที่ดีที่สุด

๒๑. แสงสว่าง: ลดไฟฟ้าในห้องนอนของคุณ หรือปิดตาสักครู่ก่อนดับไฟ จะช่วยให้ร่างกายปรับความสมดุลง่ายขึ้น โดยช่วงเวลาเปลี่ยนแปลงคือ ๒-๓ นาที และปฏิบัติกลับกันในตอนเช้า

๒๒.ไม่ควรนำต้นไม้ใบเขียวไว้ในห้องนอน: เพราะต้นไม้ที่อยู่ภายในห้องนอนจะมาแย่งออกซิเจนเรา ถ้าอยากได้ต้นไม้มาตั้งในห้องนอนจริงๆ ก็ควรเป็นต้นไม้ปลอมดีกว่า...

๒๓. วารีบำบัด: สปาบางแห่งเสนอวิธีบำบัดที่ช่วย สำหรับการนอนหลับ ประกอบด้วยการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ โดยการแช่น้ำในอ่างที่ผสมหัวน้ำมันดอกลาเวนเดอร์ จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย

๒๔. อุณหภูมิภายในห้องนอน: ควรให้อุณหภูมิอยู่ระหว่าง ๒๐ ถึง ๒๕ องศาเซลเซียส

๒๕. ควบคุมการหายใจ: ร่างกายเพิ่มการหายใจในระดับทรวงอกเอง หายใจเข้าช้าๆ และลึกๆ โดยใช้ท้องแบบสบายๆ ไม่ต้องฝืน และต่อเนื่องกัน จากนั้นหายใจออกแล้วหยุดไว้สองวินาที ก่อนหายใจใหม่อีกครั้ง การหยุดช่วงสั้นๆ ทำให้ระบบประสาทสงบลง ให้ปฏิบัติการหายใจในท่านอนเหยียดยาวก่อนนอน

๒๖. น้ำมันหอม : ระเหยผสมลงไปในน้ำมันฐาน หรือครีมที่เป็นกลาง ถ้าชอบจะเพิ่มน้ำมันหอมระเหย (ดอกลาเวนเดอร์ ดอกมาร์จอแลน ดอกบาซิลิก หรือเนโรลี) โดยหยดผสมไปกับน้ำมันฐาน (น้ำมันหอม ระเหยมากที่สุด ๕ เปอร์เซ็นต์ น้ำมันฐานถ้าเป็นไปได้ ใช้ชนิดบริสุทธิ์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ตามธรรมชาติ) โดยใช้นวดตัว และเน้นที่เท้า กลุ่มเส้นประสาท เส้นโลหิต หรือต่อมน้ำเหลือง เทคนิคอื่นในการคลายเครียดได้แก่ การใช้ฝ่ามือทั้งสองนวด โดยกางนิ้วออก นวดศีรษะเบาๆ ไล่จากคางขึ้นไปถึงหน้าผาก แล้วย้อนกลับลงมาที่ท้ายทอย คุณนวดที่หางตาได้ด้วยเช่นกัน

๒๗. ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ: วิธีนี้ช่วยลดภาวะตึงเครียด สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับ การนอนง่ายคือ บังคับควบคุมความรู้สึกของสายตาและไม่คิดอะไรขณะนอนหลับ ระบบสัมผัสทั้ง ๕ ของเราจะได้พักผ่อนเต็มที่ เริ่มต้น จากการมอง การรับกลิ่น การรับรส การสัมผัส และสุดท้ายการได้ยิน

๒๘. อาบน้ำร้อน: การทำเช่นนี้มี ปฏิกิริยากล่อมประสาทให้ง่วงนอน (สำหรับแปดในสิบหน) วิธีการคือ เพิ่มอุณหภูมิให้สูงขึ้นจาก ๓๕ ถึง ๓๙ องศาเซลเซียส และคุณสามรถเติมสมุนไพร สกัดลงในอ่างน้ำร้อนได้ แต่เพื่อความเพลิดเพลินเท่านั้น เพราะมีเพียงความร้อนเท่านั้นที่ทำปฏิกิริยา คุณเพียงแต่แช่เท้าในน้ำร้อนก็ได้ ซึ่งจะต่อเนื่องถึงอุณหภูมิของร่างกาย และมีผลผ่อนคลายกลุ่มร่างแหเส้นประสาท เส้นโลหิต หรือหลอดน้ำเหลือง ให้ปฏิบัติก่อนเข้านอน

๒๙. วางมือทั้งสองข้างบนหน้าท้อง: ความร้อนจากมือช่วยผ่อนคลาย อวัยวะภายในช่องท้องที่ขวางการไหลเวียนพลังงาน

๓๐. อย่าคาดหมายล่วงหน้า: พยายามอย่านึกคิดล่วงหน้าถึงการนัดหมาย เพราะว่าความกังวล จะทำให้คุณนอนไม่หลับ

๓๑. ผ่อนคลายตัวเองด้วยการหลับตา: จินตนาการถึงการอาบน้ำ ฝักบัวเย็นฉ่ำที่ราดรดลงมาจากศีรษะแล้วไหลไปตามลำคอ นำพาความเครียดทั้งวัน ที่ผ่านมาให้ไหลไปตามทางน้ำ หรือใช้วิธีหายใจลึกๆ ผสานกับการคิดแต่ในแง่ดี ("ฉันยอมหลับอย่างวางใจ" "ฉันรู้สึกผ่อนคลาย เต็มที่")

๓๒. บอกเลิกกิจกรรมทุกอย่าง: ๓ ชั่วโมงก่อนนอน ที่คร่ำเคร่งและใช้สติปัญญา หยุดอ่านหนังสือถ้ามันจุดจินตนาการของคุณให้ทำงาน ผลักดันให้ฝันหรือใช้ความคิดใคร่ครวญ

๓๓. สังเกตสิ่งทำแล้วหลับได้ดี: เพื่อจะได้นำมาใช้ใหม่ ในค่ำคืน ที่นอนไม่หลับสักที

โดย: พี่ทิพ

8  แจ้งให้ทราบ / แนะนำลิ้งค์ / Re: เว็บไซต์ ฟังธรรม.com เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2010, 06:37:23 pm
ขอบคุณ มาก ครับ
หน้า: [1]


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.15 | SMF © 2006-2008, Simple Machines | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!